“โอเดียนเป็นห้างสรรพสินค้ารายแรกๆ ของหาดใหญ่ เริ่มจากการที่เพื่อนผู้ประกอบการในย่าน 10 คน รวมตัวกันเพื่อจัดสรรพื้นที่ขายของภายในอาคารหลังเดียว ใครถนัดอะไรก็ขายสิ่งนั้น บางคนดีลเครื่องเขียนมาขาย กางเกงยีนส์ เสื้อผ้าผู้หญิง และซูเปอร์มาร์เก็ต เราเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2524 โดยตั้งพื้นที่อยู่ตรงข้ามศูนย์การค้าในปัจจุบัน จนปี พ.ศ. 2535 ก็ย้ายมาเปิดอยู่ในอาคารสูง 9 ชั้น ตรงพื้นที่ปัจจุบัน
ชื่อโอเดียนมาจากชื่อของโรงภาพยนตร์โอเดียน ซึ่งเคยตั้งอยู่ในพื้นที่ของเรามาก่อน พอโรงหนังปิดตัว พวกเราเห็นว่าชื่อนี้ติดไปกับพื้นที่แล้ว จึงตั้งชื่อห้างสรรพสินค้าเช่นนั้น โดยที่ดินของห้างสรรพสินค้าเป็นของลูกหลานของพระเสน่หามนตรี นายอำเภอคนแรกของหาดใหญ่ ถนนที่อาคารตั้งอยู่ก็มีชื่อว่าเสน่หานุสรณ์ ซึ่งตั้งตามชื่อของท่าน
จุดเด่นของเราคือทำเลที่อยู่ใจกลางเมือง ทำให้ทั้งคนหาดใหญ่ นักท่องเที่ยว และหน่วยงานที่มาหาดใหญ่เพื่อสัมมนาและพักโรงแรมโดยรอบ สามารถเดินมาซื้อของที่เราได้อย่างสะดวก เรามีสินค้าหลากหลาย และความที่เป็นห้างสรรพสินค้าท้องถิ่น จึงมักได้โปรโมชั่นพิเศษจากแบรนด์สินค้ามากกว่าที่อื่นๆ ส่วนหนึ่งเพราะห้างเราหักเปอร์เซนต์เขาน้อยด้วย ถ้าเทียบกับศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ซัพพลายเออร์จึงชอบทำโปรโมชั่นกับเรา สินค้าหลายชนิดของเราจึงมีราคาย่อมเยากว่าห้างอื่นๆ
แน่นอนค่ะ ทุกวันนี้เราเจอความท้าทายหลายด้านมาก ทั้งการแข่งขันจากห้างสรรพสินค้าด้วยกันเอง การเข้ามาตีตลาดออนไลน์ และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ไม่นับรวมโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบหนักจนทำให้เราต้องปรับลดพื้นที่การขายและพนักงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม ความที่โอเดียนมีการบริหารแบบห้างหุ้นส่วน ซึ่งเน้นหลักบรรษัทภิบาล และความจริงใจต่อพนักงาน คู่ค้า และลูกค้า รวมถึงการมีวินัยในการใช้จ่ายและลงทุน นั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เราอยู่รอดมาได้จนทุกวันนี้
อธิบายให้เห็นภาพ หาดใหญ่เคยประสบน้ำท่วมหนัก 3 ครั้ง โดยปี 2543 ถือว่าหนักสุด เพราะน้ำท่วมเข้ามาถึงชั้น 1 ของห้าง สูงถึง 60 เซนติเมตร แม้เราจะเก็บสินค้าขึ้นที่สูง แต่ก็ไม่รอดอยู่ดี มีการประเมินความเสียหายเฉพาะสินค้ามากถึง 20 ล้านบาท แต่โชคดีมากที่เราเป็นบริษัทหุ้นส่วน จึงต้องทำประกันภัยไว้ ถ้าโอเดียนมีเจ้าของคนเดียว ก็อาจมีความเสียดายเงินประกัน และถ้าไม่มีประกัน ช่วงเวลานั้นอาจต้องเจ็บหนัก
ขณะเดียวกัน ก็เพราะเรามีความโปร่งใสและจริงใจต่อคู่ค้า หลังน้ำลดและเราทำความสะอาดพื้นที่ ซัพพลายเออร์ทั้งหมดก็ส่งสินค้าใหม่มาให้เราขายพร้อมโปรโมชั่นลดราคาพิเศษช่วยเหลือเรา หรืออย่างล่าสุดที่โควิด-19 ระบาดจนทำให้ย่านใจกลางเมืองหาดใหญ่ฟุบหนักเพราะไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามา ร้านค้ารอบๆ เราปิดกิจการกันเป็นปีๆ มีแต่โอเดียน ร้าน Watsons และร้านรังนกที่ยังเปิดอยู่ 3 ร้านในย่านนั้น หาดใหญ่ในช่วงนั้นเลยยังไม่ตายสนิทเสียทีเดียว
จะว่าไปโอเดียนเป็นห้างที่ผ่านวิกฤตร่วมกับคนหาดใหญ่มาหมดแล้วนะ ตั้งแต่น้ำท่วมใหญ่ โรคซาร์ส เหตุการณ์ความไม่สงบ ไฟไหม้ก็เจอมาแล้ว ล่าสุดก็โควิด-19 นี่ โดยที่ผ่านมา เราหาได้แต่ทำการค้าอย่างเดียว แต่เรายังมีกิจกรรมที่คอยสนับสนุนเมือง และช่วยเหลือผู้คนให้ผ่านวิกฤตแต่ละครั้งมาได้ เช่นล่าสุดที่เราเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการแจกอาหารช่วงโควิด เป็นต้น
สำหรับพี่ ความสำเร็จของการทำห้างสรรพสินค้าคือการทำให้ผู้ขายอย่างเรา พนักงาน คู่ค้า และลูกค้ามีความสุข ทุกคนพึงพอใจกับประโยชน์ที่ได้ จำได้เลยว่าปี 2555 วันแรกที่ร้านกาแฟสตาร์บัคมาเปิดสาขาในโอเดียน และมีลูกค้ามารอต่อคิวซื้อล้นหลามมาก จนค่ำวันนั้นหลังร้านปิด ตัวแทนสตาร์บัคที่กรุงเทพฯ โทรมาบอกเราว่าสาขาที่โอเดียนทำลายสถิติขายดีที่สุดของประเทศ พอได้ยิน เราก็ดีใจไปกับเขาด้วย ดีใจที่เขาวางใจมาเป็นคู่ค้าเรา นี่แหละที่พี่คิดว่าสำเร็จ คู่ค้าเราขายของในที่เราได้ดี ในฐานะเจ้าของพื้นที่ก็ถือว่าเราทำสำเร็จแล้ว
พี่เห็นด้วยนะที่เขาเปรียบเทียบว่าหาดใหญ่เป็นเมืองแมว 9 ชีวิต ในฐานะที่เราเริ่มต้นธุรกิจในยุคสมัยที่การค้าหาดใหญ่รุ่งเรืองที่สุด จนมาถึงยุคซบเซาในช่วงโควิด-19 ที่ใครต่อใครลงความเห็นว่าหาดใหญ่ตายแล้ว แต่คุณมาดูทุกวันนี้สิ พอโควิดซาลง การท่องเที่ยวกลับมา เมืองก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง ที่สำคัญ เมืองหาได้คึกคักจากตลาดของหนีภาษีแบบในอดีต แน่นอน มันอาจไม่ฟู่ฟ่าเหมือนแต่ก่อน แต่สิ่งที่เป็นอยู่นี้ก็ยั่งยืนกว่ามาก”
นฤมล อมรรัตน์วิทยา
กรรมการผู้จัดการห้างสรรพสินค้าโอเดียนแฟชั่นมอลล์
“หอโหวดเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่หลังจากนี้คือกลไกที่เทศบาลต้องทำงานร่วมกับภาคประชาชนและนักวิชาการ ในการกำหนดทิศทางเมืองให้ร้อยเอ็ดพร้อมรับการท่องเที่ยว และทำให้เมืองมีความน่าอยู่ สำหรับผู้คนในเมืองพร้อมกันไปด้วย” “เราเกิดที่ร้อยเอ็ด เรียนมัธยมที่นี่ ก่อนไปเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ ก่อนหน้านี้ สักเกือบ 10 ปีที่แล้ว เราไม่เคยมีความคิดจะกลับมาทำงานที่บ้านเกิดเลยนะ เพราะไม่เห็นโอกาสอะไรในชีวิตในภาพจำเดิมของเรา ร้อยเอ็ดเป็นเมืองผ่าน ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อ ไม่มีแหล่งธรรมชาติสวยๆ…
ชวนอ่าน เบื้องหลังแนวคิดการขับเคลื่อนงานพัฒนาเมืองด้วยงานวิจัย องค์ความรู้ และนวัตกรรม ความร่วมมือ และบูรณการระหว่าง บพท. และสมาคมเทศบาลนครและเมือง ก่อเกิดโครงการ "โปรแกรมบ่มเพาะและเร่งรัดกระบวนการเพื่อมุ่งสู่เมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด (CIAP) ดำเนินการระหว่างปีพ.ศ. 2567-2568 กับผู้นำเมือง และเทศบาล…
WeCitizens : ร้อยเอ็ดเมืองน่าอยู่อย่างชาญฉลาด (ฉบับที่ 1) เปิดความคิด ความหวัง และโอกาสของการพัฒนาเมืองร้อยเอ็ดที่รัก นำโดยนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด คุณบรรจง โฆษิตจิรนันท์ คณะทำงานเจ้าหน้าที่เทศบาล และหัวหน้าโครงการวิจัยร้อยเอ็ดเมืองน่าอยู่อย่างชาญฉลาด ผศ. ดร.ชัญญรินทร์…
ร้อยเอ็ดอยู่ห่างจาก ‘สะดืออีสาน’ พื้นที่ที่ถูกปักหมุดให้เป็นจุดศูนย์กลางของภาคอีสานในอำเภอโกสุมพิสัย มหาสารคาม เพียง 60 กิโลเมตร ในตำนานอุรังคธาตุ (ตำนานพระธาตุพนม) กล่าวว่า ‘สาเกตนครร้อยเอ็ดประตู’ (ชื่อเดิม) เมืองนี้ มีประตูเท่าจำนวนเมืองขึ้น ‘ร้อยเอ็ดเมือง’ สะท้อนให้เห็นความรุ่งเรืองจากการเป็นศูนย์กลางอำนาจและการคมนาคมของภูมิภาคมาตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 21อีกทั้ง ส่วนหนึ่งของพื้นที่ยังเป็นที่ตั้งของทุ่งกุลาร้องไห้ ที่ราบขนาดใหญ่กว่า 2 ล้านไร่ ทำให้ในเวลาต่อมา ร้อยเอ็ดจึงเป็นอู่ข้าวที่ผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาที่ใหญ่ และมีผลิตผลที่ดีที่สุดในโลก แม้มีภูมิหลังที่รุ่งเรือง กระนั้น ตลอดหลายทศวรรษหลัง…
สนทนากับ ผศ.ดร.ชัญญรินทร์ สมพรหัวหน้าโครงการวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด ‘ร้อยเอ็ด’, สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด “พื้นที่นี้จะเป็นเหมือนตัวกลางในการสร้างความพร้อมให้คนร้อยเอ็ดสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต” ผศ. ดร.ชัญญรินทร์ สมพร รองผู้อํานวยการสํานักส่งเสริมวิชาการและจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด และหัวหน้าโครงการวิจัย "โครงการเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด ร้อยเอ็ดคนดี เชื่อมโยงโครงข่ายเศรษฐกิจ ด้วยการเดินบนความปลอดภัยและทันสมัย…
"เราให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงเศรษฐกิจให้ร้อยเอ็ดเป็นทางเลือกใหม่ของตลาด MICE ที่ราคาย่อมเยา เดินทางสะดวก และมีอัตลักษณ์" เริ่มจากความคับข้องใจที่เห็นบ้านเกิดของตัวเอง (ร้อยเอ็ด) เป็นเมืองผ่านที่มักถูกมองข้าม เมื่อ บรรจง โฆษิตจิรนันท์ เข้ารับตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองร้อยเอ็ด เมื่อปี 2538 เขาจึงเริ่มโครงการพัฒนาเมือง ไปพร้อมกับการดึงเสน่ห์จากศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ดึงดูดให้ผู้คนมาเที่ยว…