“ราวร้อยกว่าปีก่อน หลังจากที่ชาวจีนที่มาตั้งรกรากที่เกาะสมุยก่อตั้งศาลเจ้าพ่อกวนอูได้ 20 ปี ก็ถึงเวลาที่องค์เจ้าพ่อต้องเข้าพิธีเปลี่ยนเครื่องทรง พวกเขาจึงส่งเจ้าพ่อกวนอูลงเรือสำเภากลับไปยังเกาะไหหลำเพื่อให้ช่างที่นั่นทำสีและบูรณะองค์ท่าน จนแล้วเสร็จ พอจะล่องเรืออัญเชิญองค์พ่อกลับมา ความที่การล่องเรือกลับสยามในยุคนั้นต้องเผชิญมรสุมมากมาย คนจีนที่นั่นก็ได้จำลององค์เจ้าแม่ทับทิม ซึ่งเป็นเทพแห่งสายน้ำ อัญเชิญลงเรือมาพร้อมกันด้วย เพื่อให้การเดินทางแคล้วคลาดปลอดภัย
แล้วเรือลำดังกล่าวก็ล่องมาถึงเกาะสมุย ชาวสมุยอัญเชิญเจ้าพ่อกวนอูขึ้นฝั่งด้วยดี แต่พอถึงคราวโยนไม้เสี่ยงทายเพื่ออัญเชิญเจ้าแม่ทับทิมลงบ้าง ปรากฏว่าต่อให้โยนไม้อย่างไร ก็ตีความหมายได้ว่าเจ้าแม่ทับทิมไม่ยอมขึ้นฝั่ง หลังจากเชิญอยู่หลายวัน ก็ได้เวลาที่เรือลำนั้นต้องกลับพระนครเพื่อไปขนถ่ายสินค้าอย่างอื่นต่อ เจ้าแม่ทับทิมจึงติดกับเรือขึ้นอ่าวไทยมาด้วย
จนกระทั่งเรือลำดังกล่าวล่องมาถึงปากแม่น้ำระยอง ซึ่งเป็นจุดแวะพัก รอลมมรสุมสงบก่อนกลับพระนคร เรือได้เทียบท่าที่ท่าประดู่ ซึ่งเป็นท่าเรือของชุมชนชาวจีนที่มาตั้งรกรากในเมืองระยอง เมื่อพวกเขาทราบว่าเรือลำดังกล่าวมีเจ้าแม่ทับทิมอยู่ด้วย จึงลองทำพิธีโยนไม้เสี่ยงทายเพื่ออัญเชิญให้ท่านมาอยู่ที่นี่ ปรากฏว่าท่านลง จึงมีการก่อตั้งศาลเจ้าแม่ทับทิมขึ้นบริเวณท่าน้ำดังกล่าว นั่นคือ พ.ศ. 2421 หรือเมื่อ 144 ปีที่แล้ว ถ้านับปี พ.ศ. นี้ (2565) ก็ครบ 12 รอบพอดี
ไม่เพียงเป็นพื้นที่ทางประวัติศาสตร์สำคัญ ศาลเจ้าแม่ทับทิมยังเป็นสถานที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของพี่น้องคนไทยเชื้อสายจีนในย่านยมจินดาและเมืองระยองมาตลอด 144 ปี อย่างครอบครัวผมที่เคยทำธุรกิจโรงคั่วกาแฟโบราณในย่าน ก็เป็นหนึ่งในกำลังที่ช่วยดูแลและพัฒนาศาลเจ้าแห่งนี้ร่วมกับคนในชุมชนมาตลอด
ถ้านับหนึ่งตอนอากงย้ายจากเมืองจีนมาอยู่ระยอง ผมเป็นทายาทรุ่นที่ 3 ผมเรียนและทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ ก่อนตัดสินใจย้ายกลับมาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ระยอง ซึ่งก็ได้รับมอบหมายจากชุมชนให้เป็นคณะกรรมการศาลเจ้าแม่ทับทิมแห่งนี้ไปด้วย
งานแรกที่ทำคือการร่วมกับชุมชนบูรณะศาลเจ้าก่อนจัดพิธีสมโภช 144 ปีในปี 2565 ก็มีการร่วมระดมทุนจากภาคส่วนต่างๆ และร่วมลงแรงฟื้นฟูศาลเจ้าเสียใหม่ มีการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ และชวนศิลปินให้มาทำสตรีทอาร์ทบอกเล่าวิถีคนยมจินดาในอดีต เปลี่ยนภาพลักษณ์ของศาลเจ้าให้ร่วมสมัย
คณะกรรมการศาลเจ้าทุกคนต่างเห็นตรงกันว่าในปี 2565 นี้เป็นนิมิตหมายที่ดีในการเปลี่ยนศาลเจ้าจากพื้นที่ให้คนมากราบไหว้บูชาหรือจัดงานทางศาสนาอย่างเดียว ให้เป็นพื้นที่สาธารณะเชื่อมเข้ากับชุมชนและตัวเมืองระยอง อย่างช่วงโควิด-19 ระบาดครั้งแรกเราก็ใช้อาคารที่สร้างใหม่ในศาลเจ้าเป็นศูนย์
ประชาสัมพันธ์ของจังหวัด มีการเปิดท่าน้ำให้คนระยองมาลอยกระทง มีการจัดเทศกาลโคมไฟครั้งแรก มีการร่วมกับมหาวิทยาลัยศิลปากรจัดนิทรรศการ Rayong 4 DNA นำเสนองานออกแบบผลิตภัณฑ์ผ่านอัตลักษณ์ระยองร่วมสมัย ซึ่งมีการจัดแสดงถาวรที่นี่ รวมถึงการทำงานร่วมกับสถาบัน RILA ของโครงการเมืองแห่งการเรียนรู้ ให้ทางสถาบันมาจัดเวิร์คช็อปหรือกิจกรรมต่างๆ ในพื้นที่
ผมคิดว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับศาลเจ้าแม่ทับทิมและย่านเมืองเก่ายมจินดา ล้วนเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจในทิศทางการพัฒนาเมือง เพราะเรารู้กันดีว่าระยองเป็นเมืองอุตสาหกรรมที่พร้อมจะพัฒนาไปสู่การเป็นสมาร์ทซิตี้ แต่ในอีกมุมระยองก็เป็นเมืองที่มีรากเหง้าและประวัติศาสตร์ที่ทรงคุณค่า การจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ในย่านประวัติศาสตร์ จึงสะท้อนให้เห็นความพยายามประสานจุดแข็งทั้งสองอย่างของเมืองเข้าไว้ด้วยกัน
กับคำถามที่ว่าอยากให้คนระยองเรียนรู้อะไรเป็นพิเศษ ผมจึงคิดว่าการเรียนรู้จากประสบการณ์ เรียนรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ระยองสามารถเติบโตไปในอนาคตอย่างยั่งยืน เพราะเมืองมันไม่ได้เกิดมาได้แค่วันสองวัน ทุกเมืองล้วนมีบทเรียนจากอดีต ทั้งแง่บวกและลบตามแต่บริบทของยุคสมัย ทุกคนจึงจำเป็นต้องเรียนรู้บทเรียนนั้นๆ เพื่อเอามาต่อยอดให้สอดคล้องกับวิถีปัจจุบัน อย่าปฏิเสธของเก่า แต่ขณะเดียวกันก็อย่ากำหนดกรอบแค่ว่าสิ่งเดิมนั้นสมบูรณ์ดีอยู่แล้ว ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
ถ้าระยองหลอมรวมคุณค่าจากอดีตกับการพัฒนาในปัจจุบันเข้ากันได้ เมืองของเราจะเป็นเมืองที่มีเสน่ห์มากๆ”
สุทธิพร ภู่ธนะพิบูล
รองประธานหอการค้าจังหวัดระยอง
คณะกรรมการศาลเจ้าแม่ทับทิม
พลังคน พลังโคมลำพูน: เมืองเล็ก ๆ ที่เปี่ยมไปด้วยพลังสร้างสรรค์ แม้ ดร.สุดารัตน์ อุทธารัตน์ เป็นคนเชียงใหม่ เธอก็หาใช่เป็นคนอื่นคนไกลสำหรับชาวลำพูนเพราะก่อนจะเข้ามาขับเคลื่อนงานวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาดกับเทศบาลเมืองลำพูน เธอได้ทำวิจัยเกี่ยวกับเมืองแห่งนี้มาหลายครั้ง โดยเฉพาะโครงการขับเคลื่อนเยาวชนเพื่อเตรียมพร้อมสู่การเป็นพลเมืองของเมืองแห่งการเรียนรู้ของ UNESCO ในปี 2566-2567 - นั่นล่ะ…
“เป็นสิ่งวิเศษที่สุด ที่ผ้าไหมของจังหวัดลำพูนได้ปรากฏต่อสายตาผู้คนทั้งในและต่างประเทศ ทั้งเมื่อครั้งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงให้การส่งเสริม และทรงฉลองพระองค์ด้วยผ้าไหมยกดอกลำพูนในพระราชพิธีสำคัญต่าง ๆ และกระทั่งในปัจจุบัน สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 10 ก็ทรงส่งเสริมผ้าไหมไทย และฉลองพระองค์ด้วยผ้าไหมยกดอกลำพูนในพระราชพิธีสำคัญเช่นกัน ดิฉันเป็นคนลำพูน มีความภูมิใจในงานหัตถศิลป์การทอผ้าไหมยกดอกนี้มาก ๆ และตั้งใจจะรักษามรดกทางวัฒนธรรม ทำหน้าที่ส่งต่อถึงคนรุ่นต่อไป…
“ความที่โตมาในลำพูน เราตระหนักดีว่าเมืองเรามีต้นทุนทางวัฒนธรรมที่สูงมาก ทั้งยังมีบรรยากาศที่น่าอยู่ อย่างไรก็ดี อาจเพราะเป็นเมืองขนาดเล็ก ลำพูนมักถูกมองข้ามจากแผนการพัฒนาของประเทศ เป็นเหมือนเมืองที่มีศักยภาพ แต่ยังไม่ถูกปลุกให้ตื่นความที่เราเคยทำงานที่ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (ปัจจุบันคือสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA - ผู้เรียบเรียง) ได้เห็นตัวอย่างความสำเร็จของกระบวนการพัฒนาย่านด้วยกรอบพื้นที่สร้างสรรค์ในหลายพื้นที่…
“ผมเป็นคนลำพูน และชอบทำกิจกรรมนอกห้องเรียนมาตั้งแต่เด็ก ปัจจุบันเป็นประธานสภาเด็กและเยาวชนจังหวัดลำพูน ควบคู่ไปกับกำลังศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จากประสบการณ์การทำงานในสภาฯ ทำให้ผมเห็นว่า เยาวชนลำพูนมีศักยภาพที่หลากหลาย แต่สิ่งที่ขาดไปคือเวทีที่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสดงความสามารถและพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากการสนับสนุนจากโรงเรียนหรือโครงการของภาคเอกชน ปี 2567 พี่อร (ดร.สุดารัตน์ อุทธารัตน์…
“อาคารหลังนี้แต่ก่อนเป็นที่ประทับของเจ้าราชสัมพันธวงษ์ลำพูน (พุทธวงษ์ ณ เชียงใหม่) น้องเขยของเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าหลวงองค์สุดท้ายของลำพูน อาคารถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 2455 หลังจากนั้นก็ถูกขายให้พ่อค้าชาวจีนไปทำเป็นโรงเรียนหวุ่นเจิ้ง สอนภาษาจีนและคณิตศาสตร์ โรงเรียนนี้เปิดได้ไม่นานก็ต้องปิด เพราะสมัยนั้นรัฐบาลเพ่งเล็งว่าอะไรที่เป็นของจีนจะเกี่ยวข้องกับลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่หนูก็ไม่รู้หรอกว่าโรงเรียนนี้เกี่ยวข้องหรือเปล่า (ยิ้ม) จากนั้นอาคารก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นโรงเรียนมงคลวิทยาในปี…
“เราโตมากับวัฒนธรรมของคนลำพูน ชอบไปเดินงานปอย ร่วมงานบุญ ก่อนหน้านี้ก็เคยทำงานรับจ้างทั่วไป จนเทศบาลฯ มาส่งเสริมเรื่องการทำโคม โดยมีสล่าจากชุมชนศรีบุญเรืองมาสอน เราก็ไปเรียนกับเขา ตอนนี้อาชีพหลักคือการทำโคม ทำมาได้ 2 ปีแล้ว สำหรับเรา โคมคืองานศิลปะ เป็นสัญลักษณ์และมรดกที่ยึดโยงกับวัฒนธรรมของคนบ้านเรา ตอนแรกเราไม่มีความคิดเลยว่ามันจะกลายมาเป็นอาชีพได้…