อาชีพคนขับรถม้าคิดเป็นสัดส่วน 1 ในล้านคนของประเทศ นี่เป็นอาชีพที่ไม่ธรรมดา และควรอนุรักษ์วิถีนี้ไว้ให้คู่เมืองลำปาง สิ่งนี้มีคุณค่ามากพอให้ต้องสู้ไปกับมันเพื่อวันข้างหน้า

“พ่อผมเป็นทั้งคนขับรถม้าและคนฝึกม้า ตอนเด็กๆ เวลาพ่อผมไปขับรถม้าพานักท่องเที่ยวชมเมือง แกจะพาผมนั่งติดรถไปด้วย ผมขึ้นหลังม้าตั้งแต่อายุราว 5-6 ขวบ พออายุ 8 ขวบ พ่อก็ให้จับสายขับและฝึกควบคุมม้า จนผมอายุ 12 ปี จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันที่ 5 ธันวาคม พ่อออกไปทำธุระนอกบ้านพอดี ผมเลยถือโอกาสพานายบุญทอง ม้าที่พ่อให้ผมใช้ฝึกลากรถออกไปเข้าคิวรับลูกค้า

ความที่ผมนั่งรถม้ากับพ่อมาตลอด เลยจดจำเส้นทางได้แม่น ทริปแรกของผมจึงราบรื่น ผมได้รับค่าแรง 50 บาท สมัยนั้นก๋วยเตี๋ยวชามละ 15 บาท ผมเอาไปอวดเพื่อนใหญ่เลย พอพ่อมารู้ทีหลัง แต่เห็นว่าผมทำได้ แกก็ไม่ว่าอะไร หลังจากนั้นพอมีเวลาว่าง อย่างวันหยุดหรือปิดเทอม ผมก็หาเวลาขับรถม้าตลอด โดยมีนายบุญทองเป็นม้าตัวแรกในชีวิต

ช่วงที่เรียนมัธยมต่อวิทยาลัยเทคนิค ผมมักจะหาเวลาขับรถม้าเสมอ แต่เป็นงานหาค่าขนม ไม่ได้จริงจังอะไร พอเรียนจบผมไปทำงานที่กรุงเทพฯ และย้ายไปเป็นครูอยู่จังหวัดตากอีกหลายปี จนมาปี พ.ศ. 2560 พ่อผมเกิดเส้นเลือดในสมองแตก เป็นอัมพาตครึ่งซีก ผมเลยต้องลาออกจากงานกลับมาดูแลพ่อที่ลำปาง ความที่มีทักษะอยู่แล้ว และพ่อก็มีรถม้าพร้อม ก็เลยเปลี่ยนอาชีพมาขับรถม้า ควบคู่ไปกับการเป็นช่างทำเกือกม้า และทำงานศิลปะขายตามที่ต่างๆ

ถึงจะมีทักษะการขับรถม้าอยู่แล้ว แต่การกลับบ้านครั้งนี้ทำให้ผมต้องเรียนรู้อะไรหลายๆ เรื่องใหม่ ทั้งการดูแลคนป่วย และการบริหารจัดการอาชีพอิสระใหม่นี้ ที่สำคัญคือเรียนรู้ม้าที่ต้องใช้เทียมรถขับ

ม้าแต่ละตัวมีบุคลิกเฉพาะนะครับ ม้ามีความฉลาดและมีความจำที่ดี แต่ก็มีลักษณะนิสัยที่เรียกร้องให้เราต้องทำความเข้าใจพอสมควร อย่างนายบุญทองม้าตัวแรกของผมเนี่ย เขาจะเป๊ะเรื่องเวลามากๆ ทุกวันพ่อจะพาเขาไปรับนักท่องเที่ยว และพาไปตามเส้นทางต่างๆ เขาจะรู้ได้เลยว่าจุดไหนที่เขาจะได้พัก จุดไหนที่เขาต้องเดินต่อ หรือกระทั่งพอตกเย็น ถึงเวลากลับบ้าน เขาก็จะเดินกลับบ้าน จำได้ว่าตอนเด็กๆ ที่ผมขับรถม้า แล้วตกเย็น ผมแวะเข้าห้องน้ำ ออกมาอีกทีนายบุญทองหายไปแล้ว เขาเดินกลับบ้านเอง ผมต้องโบกรถแถวนั้นเพื่อไล่ตาม (หัวเราะ)

พอพ่อเริ่มหายดีจนสามารถกลับมาขับรถม้าได้อีกครั้ง ความที่ชีวิตการเป็นสารถีของผมลงตัวแล้ว และรู้สึกสนุกกับมัน ก็เลยขับรถม้าต่อ จนปี 2563 เกิดโควิด-19 ไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเลย ก็ผลักดันให้ผมต้องเรียนรู้ใหม่อีกครั้ง

คือแต่ไหนแต่ไร ผมเป็นคนชอบขวนขวายหาข้อมูลเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับงานบริการอยู่แล้ว อย่างถ้าพานักท่องเที่ยวนั่งรถม้าชมเมือง ผมก็จะบอกเล่าเกร็ดประวัติศาสตร์ตามจุดต่างๆ พร้อมไปกับอ่านบุคลิกของนักท่องเที่ยวแต่ละท่านด้วย เช่น คนนี้ใช้กล้องถ่ายรูปโปร ก็คงชอบถ่ายรูปทิวทัศน์หรือสถาปัตยกรรมแน่ๆ ผมก็จะแนะนำมุมถ่ายรูปสวยๆ ให้เขา หรือถ้าคนนี้มาสายบุญ ก็จะพาไปไหว้พระขอพรวัดนั้นวัดนี้ หรือบางคนเขาสนใจเรื่องเครื่องแต่งกายพื้นเมือง ผมพาไปดูจิตรกรรมฝาผนังวัดประตูป่องเลย มีให้ดูครบ เป็นต้น

แต่ทีนี้พอโควิดมาเอานักท่องเที่ยวของเราไป ก็เลยมาคิดต่อว่าจะเอายังไง เพราะคนท้องถิ่นใครเขาอยากจะขึ้นรถม้าชมเมืองตัวเองกัน ซึ่งถ้าปล่อยไว้แบบนี้เราก็ไม่ต่างอะไรจากแท็กซี่ที่ไม่มีผู้โดยสาร ก็เลยเปลี่ยนกิจกรรม หันมาเปิดบ้านตัวเองให้ผู้ปกครองพาลูกๆ หลานๆ มาเล่นและมาเรียนรู้เกี่ยวกับม้า พาไปนั่งรถม้าสำรวจเส้นทางอันซีน ให้เด็กๆ ได้ให้อาหารม้า ไปขี่ม้า เรียนรู้ว่าม้าใช้ชีวิตยังไง ซึ่งผมก็เพิ่งมาสังเกตว่าแม้คนลำปางจะคุ้นเคยกับรถม้า แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับม้าเท่าใด ผมก็เลยทำกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้นี้ขึ้นมา รวมถึงผมยังจัดการแสดงฟ้อนเจิง-ฟ้อนดาบสร้างความบันเทิง ซึ่งเป็นทักษะที่ผมได้มาจากตอนเป็นครูให้ลูกค้าชมด้วย

สิ่งเหล่านี้ส่วนหนึ่งเกิดมาจากการที่ผมสะสมประสบการณ์จากการเป็นคนขับรถม้าด้วยครับ เพราะขณะที่เราบรรยายเรื่องราวต่างๆ ให้ลูกค้าฟัง เราก็ฟังลูกค้าด้วยว่าเขาสนใจอะไร เขาเคยไปเที่ยวไหนมา แล้วที่ที่เขาไปมีการจัดการอย่างไร มันช่วยให้ผมเรียนรู้ได้เยอะ และสิ่งนี้ก็ได้ผลเมื่อเมืองต้องมาเผชิญกับวิกฤตที่ทำให้การขับรถม้าแบบเดิมๆ ไม่อาจอยู่รอดได้อีกต่อไป

พอโควิดซา เมืองก็เริ่มดีขึ้น มีนักท่องเที่ยวกลับเข้ามา แต่ผมก็ยังทำกิจกรรมนี้ต่อไปควบคู่ไปกับการขับรถม้าพาชมเมืองเช่นเดิม และความที่ผมแต่งตัวมีเอกลักษณ์ สังเกตไหม คนขับรถม้าส่วนใหญ่จะออกแนวคาวบอย แต่ผมว่าลำปางตอนกลางวันนี่ร้อนมากนะครับ ผมใส่เสื้อพื้นเมืองกับกางเกงสะดอดีกว่า เป็นคาวบอยเหมือนกัน แต่เป็นคาวบอยน้ำปู๋ สไตล์ลำปาง (ยิ้ม) ก็มีลูกค้าให้ความสนใจเยอะ พวกเขามาขอถ่ายรูป ผมก็ได้ทิปเพิ่มอีก  

ตอนนี้ผมอายุสี่สิบกว่า คุณเชื่อไหมว่าผมเป็นสารถีที่อายุน้อยกว่าใครเขาเลย สิ่งที่ผมทำอยู่นี้ นอกจากเป็นอาชีพที่ผมรัก ผมก็อยากพิสูจน์ให้คนรุ่นใหม่ได้เห็นว่าอาชีพคนขับรถม้ามันอยู่ได้นะ จริงอยู่ หลายคนอาจมองว่ามันไม่มั่นคงเท่ารับราชการหรือทำงานบริษัท แต่ก็อย่าลืมว่าคนขับรถม้าที่นี่หลายคนก็สร้างตัว สร้างครอบครัว และส่งลูกจบด็อกเตอร์มาไม่น้อย สิ่งสำคัญคือหลังจากนี้เราจะร่วมขับเคลื่อนอย่างไรให้อาชีพนี้สามารถการันตีรายได้ที่มั่นคง หน่วยงานต่างๆ หรือรัฐจะช่วยกันสร้างกระบวนการอย่างไรให้อาชีพคนขับรถม้าสามารถอยู่ได้อย่างภาคภูมิใจ

ทุกวันนี้ลำปางมีรถม้าราว 100 คัน แต่มีคนขับจริงๆ ราว 50-70 คน ลองเทียบดูสิว่าประเทศไทยเรามีประชากรทั้งหมดราว 70 ล้านคน อาชีพคนขับรถม้าคิดเป็นสัดส่วน 1 ในล้านคนเลยนะ นี่เป็นอาชีพที่ไม่ธรรมดา และทุกฝ่ายก็ต่างเห็นตรงกันว่าควรอนุรักษ์วิถีนี้ไว้ให้คู่เมืองลำปาง สิ่งนี้มีคุณค่ามากพอให้ผมต้องสู้ไปกับมันเพื่อวันข้างหน้า”

ว่าที่ ร.อ. สุพจน์ ใจรวมกูล
สารถีรุ่นใหม่ ช่างทำเกือกม้า และศิลปินอิสระ

กองบรรณาธิการ

Recent Posts

THE INSIDER : ณัฐธิยาภรณ์ อ้วนวงศ์ นักวิจัยโครงการเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด ร้อยเอ็ด และนักวิเคราะห์นโยบายและแผน กองยุทธศาสตร์และงบประมาณ เทศบาลเมืองร้อยเอ็ด

“หอโหวดเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่หลังจากนี้คือกลไกที่เทศบาลต้องทำงานร่วมกับภาคประชาชนและนักวิชาการ ในการกำหนดทิศทางเมืองให้ร้อยเอ็ดพร้อมรับการท่องเที่ยว และทำให้เมืองมีความน่าอยู่ สำหรับผู้คนในเมืองพร้อมกันไปด้วย” “เราเกิดที่ร้อยเอ็ด เรียนมัธยมที่นี่ ก่อนไปเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ ก่อนหน้านี้ สักเกือบ 10 ปีที่แล้ว เราไม่เคยมีความคิดจะกลับมาทำงานที่บ้านเกิดเลยนะ เพราะไม่เห็นโอกาสอะไรในชีวิตในภาพจำเดิมของเรา ร้อยเอ็ดเป็นเมืองผ่าน ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อ ไม่มีแหล่งธรรมชาติสวยๆ…

5 days ago

WeCitizens : The Concept

ชวนอ่าน เบื้องหลังแนวคิดการขับเคลื่อนงานพัฒนาเมืองด้วยงานวิจัย องค์ความรู้ และนวัตกรรม ความร่วมมือ และบูรณการระหว่าง บพท. และสมาคมเทศบาลนครและเมือง ก่อเกิดโครงการ "โปรแกรมบ่มเพาะและเร่งรัดกระบวนการเพื่อมุ่งสู่เมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด (CIAP) ดำเนินการระหว่างปีพ.ศ. 2567-2568 กับผู้นำเมือง และเทศบาล…

7 days ago

WeCitizens เมืองร้อยเอ็ด : ก้าวสู่เมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด

WeCitizens : ร้อยเอ็ดเมืองน่าอยู่อย่างชาญฉลาด (ฉบับที่ 1) เปิดความคิด ความหวัง และโอกาสของการพัฒนาเมืองร้อยเอ็ดที่รัก นำโดยนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด คุณบรรจง โฆษิตจิรนันท์ คณะทำงานเจ้าหน้าที่เทศบาล และหัวหน้าโครงการวิจัยร้อยเอ็ดเมืองน่าอยู่อย่างชาญฉลาด ผศ. ดร.ชัญญรินทร์…

1 month ago

City View : ๑๐๑ เมืองรองที่ไม่เป็นรองใคร

ร้อยเอ็ดอยู่ห่างจาก ‘สะดืออีสาน’ พื้นที่ที่ถูกปักหมุดให้เป็นจุดศูนย์กลางของภาคอีสานในอำเภอโกสุมพิสัย มหาสารคาม เพียง 60 กิโลเมตร ในตำนานอุรังคธาตุ (ตำนานพระธาตุพนม) กล่าวว่า ‘สาเกตนครร้อยเอ็ดประตู’ (ชื่อเดิม) เมืองนี้ มีประตูเท่าจำนวนเมืองขึ้น ‘ร้อยเอ็ดเมือง’ สะท้อนให้เห็นความรุ่งเรืองจากการเป็นศูนย์กลางอำนาจและการคมนาคมของภูมิภาคมาตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 21อีกทั้ง ส่วนหนึ่งของพื้นที่ยังเป็นที่ตั้งของทุ่งกุลาร้องไห้ ที่ราบขนาดใหญ่กว่า 2 ล้านไร่ ทำให้ในเวลาต่อมา ร้อยเอ็ดจึงเป็นอู่ข้าวที่ผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาที่ใหญ่ และมีผลิตผลที่ดีที่สุดในโลก แม้มีภูมิหลังที่รุ่งเรือง กระนั้น ตลอดหลายทศวรรษหลัง…

2 months ago

๑๐๑ สานพลังผู้คนเพื่อกำหนดทิศทางเมือง

สนทนากับ ผศ.ดร.ชัญญรินทร์ สมพรหัวหน้าโครงการวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด ‘ร้อยเอ็ด’, สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด “พื้นที่นี้จะเป็นเหมือนตัวกลางในการสร้างความพร้อมให้คนร้อยเอ็ดสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต” ผศ. ดร.ชัญญรินทร์ สมพร รองผู้อํานวยการสํานักส่งเสริมวิชาการและจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด และหัวหน้าโครงการวิจัย "โครงการเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด ร้อยเอ็ดคนดี เชื่อมโยงโครงข่ายเศรษฐกิจ ด้วยการเดินบนความปลอดภัยและทันสมัย…

2 months ago

THE MAYOR : บรรจง โฆษิตจิรนันท์ : นายเทศมนตรีเมืองร้อยเอ็ด และนายกสมาคมเทศบาลนครและเมือง

"เราให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงเศรษฐกิจให้ร้อยเอ็ดเป็นทางเลือกใหม่ของตลาด MICE ที่ราคาย่อมเยา เดินทางสะดวก และมีอัตลักษณ์" เริ่มจากความคับข้องใจที่เห็นบ้านเกิดของตัวเอง (ร้อยเอ็ด) เป็นเมืองผ่านที่มักถูกมองข้าม เมื่อ บรรจง โฆษิตจิรนันท์ เข้ารับตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองร้อยเอ็ด เมื่อปี 2538 เขาจึงเริ่มโครงการพัฒนาเมือง ไปพร้อมกับการดึงเสน่ห์จากศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ดึงดูดให้ผู้คนมาเที่ยว…

2 months ago