“เมื่อก่อนหาดใหญ่ใช้การคมนาคมทางน้ำเป็นหลัก จนมีสถานีรถไฟในปี พ.ศ. 2467 ชาวจีนที่รับสร้างทางรถไฟสายใต้อย่าง เจียกีซี (ขุนนิพัทธ์จีนนคร) และชาวจีนอีกคนอย่างซีกิมหยง ต่างมองเห็นชัยภูมิที่ดี ทั้งการเป็นชุมทางของภาคใต้ตอนล่าง และการเชื่อมเส้นทางไปถึงมาเลเซีย พวกเขาจึงวางผังและสร้างเมืองนี้ขึ้นมา
เริ่มจากจัดสรรที่ดินให้คนงานมีบ้านอยู่ก่อน ยกที่ดินสำหรับทำโรงเรียน ซึ่งมีทั้งโรงเรียนจีนและฝรั่ง พอฝรั่งเข้ามาก็มีโรงพยาบาลมิชชันนารีที่มีหมอฝรั่งมารักษาคนด้วย คนงานมีบ้านอยู่ ลูกหลานมีโรงเรียน เจ็บไข้ได้ป่วยก็มีโรงพยาบาลรักษา พอแก่ตัวมา ก็มีมูลนิธิจงฮั่วสงเคราะห์คนชราคอยดูแล โดยให้สมาคมภาษา 5 สมาคม หมุนเวียนกันบริหาร ฮากกา ไหหลำ แต้จิ๋ว ฮกเกี้ยน และกวางสี ซึ่งทุกวันนี้ยังเหลือกรรมกรรถไฟจากยุคนั้นที่มีชีวิตอยู่ที่นั่นด้วยนะ
พอมีโมเดลแบบนี้ คนจีนทุกภาษาก็เลยพากันมาอยู่ที่นี่หมด อาหารการกินจึงหลากหลาย ขณะเดียวกันรถไฟดึงดูดให้คนจากทั่วสารทิศมาอยู่เมืองนี้ คนเหนือและอีสานที่มาใช้แรงงาน คนใต้จากจังหวัดรอบๆ ที่เข้ามาเรียนหนังสือและค้าขาย ชาวมุสลิม และอื่นๆ เราเคยเป็นเมืองศูนย์กลางของยางพาราและปาล์ม ในระดับที่เรามีการร่วมทุนตั้งบริษัทยางไทยปักษ์ใต้ (เต็กบี้ห้าง) ก่อนสิงคโปร์เขาตั้งประเทศอีกนะ บริษัทยางใหญ่ๆ ในบ้านเราส่วนใหญ่ก็เติบโตมาจากบริษัทนี้หมด
ในด้านการศึกษาและนวัตกรรม อินเตอร์เน็ตเกิดขึ้นครั้งแรกก็ที่คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อีเมลฉบับแรกของไทยก็ส่งจากที่นี่เมื่อปี 2531 คุณพอเห็นภาพไหมว่าหาดใหญ่เคยทันสมัยมากขนาดไหน
ผมไม่มีบุญพอจะเกิดเป็นคนใต้ แต่ก็โชคดีที่ได้เป็นเขยเมืองนี้ ผมเริ่มทำราชการก่อน พอแต่งงาน พ่อตาก็ให้มาทำบริษัทคลังสินค้าและขนส่ง แต่ทำๆ ไปไม่แฮปปี้ เลยออกมาทำงานผู้จัดการธนาคารก่อนย้ายมาตลาดหลักทรัพย์จนเกษียณ ทุกวันนี้ผมทำงานด้านการศึกษาเป็นส่วนมาก โดยเป็นกรรมการฝ่ายการศึกษาและพัฒนาสังคม วิทยาลัยชุมชนสงขลา และรองประธานมูลนิธิชุมชนสงขลา
ผมมาหาดใหญ่ในยุคที่รุ่งเรืองมาก สินค้าจากจีนและฮ่องกงส่งเข้าปีนัง ต่อมาปาดังเบซาร์ และเข้าไทยก็ทางรถไฟหาดใหญ่ เมืองเลยมีการค้าขายที่คึกคัก ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้า อาหาร และของหนีภาษี ผมจำได้ว่ามีอยู่ครั้งที่ผมทำธุระในเมือง และเห็นกำนันถูกยิงหน้าโรงแรม คนวิ่งหนีแตกฮือกันหมด ผ่านไปไม่ถึงชั่วโมง หลังตำรวจมาเคลียร์สถานที่ พื้นที่ตรงนั้นก็กลับมามีคนเดินกันคลาคล่ำใหม่ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น หาดใหญ่เคยเป็นแบบนั้น เป็นเมืองที่ไม่เคยหลับ
จุดเปลี่ยนคือหลังรัฐบาลเราเปิดทำการค้ากับจีนอย่างเต็มตัว สินค้าที่คนทั่วประเทศต้องแห่มาซื้อที่หาดใหญ่ ก็กลายเป็นหาซื้อได้ง่ายจากทั่วประเทศหมด เราเลยขายของแบบเดิมไม่ได้ และด้วยความที่เมืองเติบโตเพราะการค้าขายของจากจีนอย่างเดียว ก็เลยไม่มีแรงดึงดูดให้คนรุ่นใหม่อยากทำงานที่บ้าน ส่วนเถ้าแก่ที่เป็นเจ้าของตึกในเมืองเขารวยกันอยู่แล้ว ก็ตั้งค่าเช่าแพงๆ แบบไม่ง้อคนเช่า คนจบมหาวิทยาลัยก็ไปเติบโตในเมืองอื่นหมด เพราะจะเริ่มธุรกิจที่นี่ยาก
ซึ่งนั่นล่ะครับ พอมายุคหลังเราเลยพึ่งพาแต่นักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียอย่างเดียว และเมื่อโควิดมา เมืองเลยเงียบกันหมด
ผมคิดว่าหาดใหญ่ควรระเบิดจากภายใน แน่นอน เราทิ้งนักท่องเที่ยวมาเลเซียไม่ได้ แต่เราก็ต้องทำให้เศรษฐกิจของเมืองหมุนเวียนจากคนในเมืองได้เองด้วย เมืองมันควรดึงดูดผู้ประกอบการรุ่นใหม่ สตาร์ทอัพ และนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงจากทั่วโลก ซึ่งเรามีศักยภาพเหล่านี้หมดเลยนะ ทั้งการมีสถาบันการศึกษาชั้นนำ ศูนย์การแพทย์และสุขภาพ และต้นทุนทางวัฒนธรรม
ผมเคยไปเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งที่ญี่ปุ่นมา จำชื่อไม่ได้แล้ว แต่สถานการณ์ก่อนหน้านี้เขาไม่ต่างจากเราเลย เมืองเงียบและคนรุ่นใหม่ไม่อยู่บ้าน จนสุดท้ายคนในเมืองก็มาคุยกัน เจ้าของตึกลดค่าเช่า หน่วยงานท้องถิ่นออกนโยบายลดภาษีเพื่อดึงดูดการลงทุน รวมถึงองค์กรต่างๆ สนับสนุนเงินทุนให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่เข้ามาสร้างสรรค์กิจกรรม เท่านั้นแหละ ไม่นานเมืองกลับก็มามีชีวิต วัยรุ่นสวมชุดกิโมโนเดินเล่นกันในเมือง อีกคนแต่งเป็นซูโม่ถือป้ายขายของ ตึกเก่าๆ ที่เคยร้างถูกรีโนเวทเป็นร้านค้า มีอีเวนท์ในเชิงครีเอทีฟจัดขึ้นต่อเนื่อง
ผมถึงบอกว่าหาดใหญ่มันต้องเป็นแบบนี้ มันต้องขับเคลื่อนด้วยทุนที่มีบวกกับความคิดสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ เคยนึกเล่นๆ ว่าถ้ามีสักเทศกาลหนึ่ง ลองปิดถนนสาย 1-3 ดู จัดงานแฟร์บนถนน เอารถเจ๊ก หรือรถลากให้คนในนั่งชมเมืองแบบย้อนยุค ผมว่านักท่องเที่ยวชอบนะ คนรุ่นผมก็คงจะมาร่วมด้วย ทุกวันนี้ย่านเมืองเก่าสงขลาที่กลับมาฟื้นได้อีก ก็ทำนองนี้ คุณเห็นไหมสตรีทอาร์ทรูปอาแปะสองคนนั่งดื่มชากัน แค่รูปนั้นเลย สตรีทอาร์ทรูปอื่นๆ ก็ตามมา นักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศก็พากันมาถ่ายรูป มากิน มาดื่ม มาเที่ยวในเมือง คึกกักจนถึงทุกวันนี้”
ชัยวุฒิ บุญวิวัฒนาการ
กรรมการมูลนิธิชุมชนสงขลา
และกรรมการฝ่ายการศึกษาและพัฒนาสังคม วิทยาลัยชุมชนสงขลา
“หอโหวดเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่หลังจากนี้คือกลไกที่เทศบาลต้องทำงานร่วมกับภาคประชาชนและนักวิชาการ ในการกำหนดทิศทางเมืองให้ร้อยเอ็ดพร้อมรับการท่องเที่ยว และทำให้เมืองมีความน่าอยู่ สำหรับผู้คนในเมืองพร้อมกันไปด้วย” “เราเกิดที่ร้อยเอ็ด เรียนมัธยมที่นี่ ก่อนไปเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ ก่อนหน้านี้ สักเกือบ 10 ปีที่แล้ว เราไม่เคยมีความคิดจะกลับมาทำงานที่บ้านเกิดเลยนะ เพราะไม่เห็นโอกาสอะไรในชีวิตในภาพจำเดิมของเรา ร้อยเอ็ดเป็นเมืองผ่าน ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อ ไม่มีแหล่งธรรมชาติสวยๆ…
ชวนอ่าน เบื้องหลังแนวคิดการขับเคลื่อนงานพัฒนาเมืองด้วยงานวิจัย องค์ความรู้ และนวัตกรรม ความร่วมมือ และบูรณการระหว่าง บพท. และสมาคมเทศบาลนครและเมือง ก่อเกิดโครงการ "โปรแกรมบ่มเพาะและเร่งรัดกระบวนการเพื่อมุ่งสู่เมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด (CIAP) ดำเนินการระหว่างปีพ.ศ. 2567-2568 กับผู้นำเมือง และเทศบาล…
WeCitizens : ร้อยเอ็ดเมืองน่าอยู่อย่างชาญฉลาด (ฉบับที่ 1) เปิดความคิด ความหวัง และโอกาสของการพัฒนาเมืองร้อยเอ็ดที่รัก นำโดยนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด คุณบรรจง โฆษิตจิรนันท์ คณะทำงานเจ้าหน้าที่เทศบาล และหัวหน้าโครงการวิจัยร้อยเอ็ดเมืองน่าอยู่อย่างชาญฉลาด ผศ. ดร.ชัญญรินทร์…
ร้อยเอ็ดอยู่ห่างจาก ‘สะดืออีสาน’ พื้นที่ที่ถูกปักหมุดให้เป็นจุดศูนย์กลางของภาคอีสานในอำเภอโกสุมพิสัย มหาสารคาม เพียง 60 กิโลเมตร ในตำนานอุรังคธาตุ (ตำนานพระธาตุพนม) กล่าวว่า ‘สาเกตนครร้อยเอ็ดประตู’ (ชื่อเดิม) เมืองนี้ มีประตูเท่าจำนวนเมืองขึ้น ‘ร้อยเอ็ดเมือง’ สะท้อนให้เห็นความรุ่งเรืองจากการเป็นศูนย์กลางอำนาจและการคมนาคมของภูมิภาคมาตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 21อีกทั้ง ส่วนหนึ่งของพื้นที่ยังเป็นที่ตั้งของทุ่งกุลาร้องไห้ ที่ราบขนาดใหญ่กว่า 2 ล้านไร่ ทำให้ในเวลาต่อมา ร้อยเอ็ดจึงเป็นอู่ข้าวที่ผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาที่ใหญ่ และมีผลิตผลที่ดีที่สุดในโลก แม้มีภูมิหลังที่รุ่งเรือง กระนั้น ตลอดหลายทศวรรษหลัง…
สนทนากับ ผศ.ดร.ชัญญรินทร์ สมพรหัวหน้าโครงการวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด ‘ร้อยเอ็ด’, สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด “พื้นที่นี้จะเป็นเหมือนตัวกลางในการสร้างความพร้อมให้คนร้อยเอ็ดสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต” ผศ. ดร.ชัญญรินทร์ สมพร รองผู้อํานวยการสํานักส่งเสริมวิชาการและจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด และหัวหน้าโครงการวิจัย "โครงการเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด ร้อยเอ็ดคนดี เชื่อมโยงโครงข่ายเศรษฐกิจ ด้วยการเดินบนความปลอดภัยและทันสมัย…
"เราให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงเศรษฐกิจให้ร้อยเอ็ดเป็นทางเลือกใหม่ของตลาด MICE ที่ราคาย่อมเยา เดินทางสะดวก และมีอัตลักษณ์" เริ่มจากความคับข้องใจที่เห็นบ้านเกิดของตัวเอง (ร้อยเอ็ด) เป็นเมืองผ่านที่มักถูกมองข้าม เมื่อ บรรจง โฆษิตจิรนันท์ เข้ารับตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองร้อยเอ็ด เมื่อปี 2538 เขาจึงเริ่มโครงการพัฒนาเมือง ไปพร้อมกับการดึงเสน่ห์จากศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ดึงดูดให้ผู้คนมาเที่ยว…