“ทีมมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ลงพื้นที่เมืองราชบุรีร่วมกับทางคณะโบราณคดี มาตั้งแต่โครงการเมืองน่าอยู่และสร้างสรรค์ในปี 2563 ซึ่งได้รับทุนจาก บพท. เช่นเดียวกับโครงการเมืองแห่งการเรียนรู้ปี 2564-2565 โดยในโครงการนั้น เราได้จัดทำโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการด้านศิลปหัตถศิลป์ท้องถิ่น ครอบคลุมตั้งแต่การวาดรูป การปั้นดิน การทำความเข้าใจงานหัตถกรรมพื้นบ้าน และการแชร์ความคิดด้านการออกแบบเมืองที่ทุกคนอยากเห็น
กิจกรรมครั้งนั้นทำให้เราพบว่าเด็กราชบุรีหลายคนแม้จะคุ้นเคยกับโอ่งมังกร แต่ก็แทบไม่เคยสัมผัสดินที่ใช้ปั้นโอ่งเลย เราก็เลยให้เขาลองปั้นดิน และมาร่วมกันออกแบบประติมากรรมที่สะท้อนความเป็นเมืองราชบุรี เพื่อนำไปติดตั้งบริเวณริมแม่น้ำแม่กลองกัน
ประติมากรรมรูปมังกร ‘ราชาก้อน’ คือผลลัพธ์ดังกล่าว ผมคิดถึงการนำสัญลักษณ์อย่างมังกรที่ปรากฏอยู่ในโอ่งมาต่อยอดเป็นประติมากรรม และชวนเด็กๆ และชาวชุมชนช่วยกันนำแผ่นเซรามิกซึ่งเป็นอีกผลิตภัณฑ์สำคัญของเมือง มาติดรอบชิ้นงานประหนึ่งเกล็ดของมังกร สิ่งนี้ไม่เพียงเราจะได้งานศิลปะในพื้นที่สาธารณะชิ้นใหม่แก่เมือง แต่ยังทำให้เด็กๆ และชาวราชบุรีรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ เพราะนี่คืองานศิลปะที่ทุกคนมีส่วนร่วมทำด้วยกัน
ซึ่งนอกจาก ‘ราชาก้อน’ ในพื้นที่ไม่ไกลจากกัน ยังมีท่อน้ำขนาดใหญ่ตั้งอยู่ และมีส่วนทำลายทัศนียภาพริมน้ำ ก็เลยมีการหารือกันว่าจะสร้างประติมากรรมคลุมทับเข้าไป ก็ได้ อาจารย์ธาตรี (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ธาตรี เมืองแก้ว) มาออกแบบประติมากรรมมังกรอีกตัว ตั้งชื่อว่า ‘โคยกี๊ก้อน’ ซึ่งนำชื่อมาจากชื่อของตลาดที่มังกรตัวนี้ตั้งอยู่ เราใช้กระบวนการเดียวกันเลยคือ ชวนเด็กและชาวชุมชนมาร่วมกันผสมปูน ขึ้นรูป และประดับเกล็ดมังกรด้วยเซรามิก จนเกิดเป็นประติมากรรมมังกรสีเหลืองตัวยาว ซึ่งสามารถใช้เป็นม้านั่งชมทิวทัศน์ของแม่น้ำแม่กลองได้ด้วย พร้อมกันนั้น อาจารย์ธาตรีก็ยังได้สร้างสรรค์เครื่องปั้นดินเผาตบแต่งฝาผนังโดยถอดลวดลายจากผ้าซิ่นตีนจก มาประดับพื้นที่ผนังด้านบนที่โคยกี๊ก้อนจัดแสดงอยู่ เพื่อทำให้ทัศนียภาพโดยรวมสอดรับเข้าด้วยกัน
เช่นเดียวกับที่อาจารย์วีรวัฒน์ (ผู้ช่วยศาสตราจารย์วีรวัฒน์ สิริเวสมาศ) ได้แลกเปลี่ยนกับชาวชุมชนเพื่อคัดสรรไอเดียสำหรับวาดรูปสตรีทอาร์ทบนผนังเขื่อนริมแม่น้ำ จนได้รูปของวิถีชาวราชบุรีในอดีต มาให้นักศึกษาของอาจารย์วาดให้ โดยรูปนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัด (รณภพ เหลืองไพโรจน์) ยังให้เกียรติเป็นคนเลือกด้วยตัวเองอีกด้วย
นอกจากนี้อาจารย์ในทีมมัณฑนศิลป์ทั้งหมด 7 ท่าน ก็ต่างสร้างสรรค์งานออกแบบที่สะท้อนอัตลักษณ์ของเมือง และหวังให้เป็นตัวจุดประกายให้คนราชบุรีนำไอเดียเหล่านี้ไปต่อยอดต่อไป
ในปี 2564 เนื่องจากงบประมาณที่ได้จาก บพท. จำกัด ทีมของเราจึงเลือกที่จะออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีขนาดเล็กลงมา แต่ก็มีศักยภาพในการพัฒนาให้กลายเป็นสินค้าที่ระลึกได้ เช่นที่ผมทำโคมไฟรูปซุ้มประตูจีนจำลองของวัดช่องลม ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักฐานของการตั้งถิ่นฐานของชาวจีนในเมืองราชบุรีในอดีต โดยโคมไฟนี้ยังสามารถนำไปเป็นของแต่งบ้าน และของที่ระลึกไปพร้อมกัน
ส่วนอาจารย์ไพโรจน์ (ดร.ไพโรจน์ พิทยเมธี) ยังได้นำฐานข้อมูลด้านประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมที่ทีมนักวิจัยจากคณะโบราณคดีรวบรวมไว้ มาพัฒนาเป็นบอร์ดเกมเมืองราชบุรี เพื่อเปิดให้เยาวชนและผู้ที่สนใจได้เรียนรู้เมืองผ่านการเล่นเกม โดยมีตัวหมากที่อาจารย์วีรวัฒน์ได้นำแรงบันดาลใจจากโอ่งมังกรมาออกแบบใหม่ และผลิตด้วยเครื่องปริ้นท์สามมิติ มาใช้เล่นประกอบ
จากที่ดำเนินการโครงการทั้งสองโครงการตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ผมพบว่าชาวชุมชนตลาดเก่ามีความเข้มแข็ง และมีความตั้งใจอยากพัฒนาพื้นที่ของเขาให้กลายเป็นแหล่งเรียนรู้ของเมือง ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีต่อการพัฒนาเมืองต่อไป อย่างไรก็ดี จะดีกว่านี้มาก หากหน่วยงานรัฐลงมาร่วมขับเคลื่อนกับชุมชนอย่างเต็มที่ เพราะต้องยอมรับว่าการพัฒนาแนวคิดเรื่องพื้นที่แห่งการเรีนรู้ให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม ต้องอาศัยกำลังหลักอย่างรัฐที่มีงบประมาณและกำลังคนในการร่วมขับเคลื่อน
ถ้าเราบูรณาการทั้งงานวิชาการ เครือข่ายชุมชน และรัฐเข้าด้วยกันได้ครบวงจร ไม่ว่าเป้าหมายของเมืองจะเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ เมืองน่าอยู่ เมืองสร้างสรรค์ หรือเมืองท่องเที่ยวอันยั่งยืน อะไรก็ตามแต่ ราชบุรีก็มีศักยภาพที่พร้อมเป็นได้ทั้งนั้นครับ”
ภูษิต รัตนภานพ
หัวหน้าภาควิชาการออกแบบเครื่องประดับ คณะมัณฑนศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
และหัวหน้าโครงการย่อยที่ 2 โครงการราชบุรีเมืองแห่งการเรียนรู้
พลังคน พลังโคมลำพูน: เมืองเล็ก ๆ ที่เปี่ยมไปด้วยพลังสร้างสรรค์ แม้ ดร.สุดารัตน์ อุทธารัตน์ เป็นคนเชียงใหม่ เธอก็หาใช่เป็นคนอื่นคนไกลสำหรับชาวลำพูนเพราะก่อนจะเข้ามาขับเคลื่อนงานวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาดกับเทศบาลเมืองลำพูน เธอได้ทำวิจัยเกี่ยวกับเมืองแห่งนี้มาหลายครั้ง โดยเฉพาะโครงการขับเคลื่อนเยาวชนเพื่อเตรียมพร้อมสู่การเป็นพลเมืองของเมืองแห่งการเรียนรู้ของ UNESCO ในปี 2566-2567 - นั่นล่ะ…
“เป็นสิ่งวิเศษที่สุด ที่ผ้าไหมของจังหวัดลำพูนได้ปรากฏต่อสายตาผู้คนทั้งในและต่างประเทศ ทั้งเมื่อครั้งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงให้การส่งเสริม และทรงฉลองพระองค์ด้วยผ้าไหมยกดอกลำพูนในพระราชพิธีสำคัญต่าง ๆ และกระทั่งในปัจจุบัน สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 10 ก็ทรงส่งเสริมผ้าไหมไทย และฉลองพระองค์ด้วยผ้าไหมยกดอกลำพูนในพระราชพิธีสำคัญเช่นกัน ดิฉันเป็นคนลำพูน มีความภูมิใจในงานหัตถศิลป์การทอผ้าไหมยกดอกนี้มาก ๆ และตั้งใจจะรักษามรดกทางวัฒนธรรม ทำหน้าที่ส่งต่อถึงคนรุ่นต่อไป…
“ความที่โตมาในลำพูน เราตระหนักดีว่าเมืองเรามีต้นทุนทางวัฒนธรรมที่สูงมาก ทั้งยังมีบรรยากาศที่น่าอยู่ อย่างไรก็ดี อาจเพราะเป็นเมืองขนาดเล็ก ลำพูนมักถูกมองข้ามจากแผนการพัฒนาของประเทศ เป็นเหมือนเมืองที่มีศักยภาพ แต่ยังไม่ถูกปลุกให้ตื่นความที่เราเคยทำงานที่ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (ปัจจุบันคือสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA - ผู้เรียบเรียง) ได้เห็นตัวอย่างความสำเร็จของกระบวนการพัฒนาย่านด้วยกรอบพื้นที่สร้างสรรค์ในหลายพื้นที่…
“ผมเป็นคนลำพูน และชอบทำกิจกรรมนอกห้องเรียนมาตั้งแต่เด็ก ปัจจุบันเป็นประธานสภาเด็กและเยาวชนจังหวัดลำพูน ควบคู่ไปกับกำลังศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จากประสบการณ์การทำงานในสภาฯ ทำให้ผมเห็นว่า เยาวชนลำพูนมีศักยภาพที่หลากหลาย แต่สิ่งที่ขาดไปคือเวทีที่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสดงความสามารถและพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากการสนับสนุนจากโรงเรียนหรือโครงการของภาคเอกชน ปี 2567 พี่อร (ดร.สุดารัตน์ อุทธารัตน์…
“อาคารหลังนี้แต่ก่อนเป็นที่ประทับของเจ้าราชสัมพันธวงษ์ลำพูน (พุทธวงษ์ ณ เชียงใหม่) น้องเขยของเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าหลวงองค์สุดท้ายของลำพูน อาคารถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 2455 หลังจากนั้นก็ถูกขายให้พ่อค้าชาวจีนไปทำเป็นโรงเรียนหวุ่นเจิ้ง สอนภาษาจีนและคณิตศาสตร์ โรงเรียนนี้เปิดได้ไม่นานก็ต้องปิด เพราะสมัยนั้นรัฐบาลเพ่งเล็งว่าอะไรที่เป็นของจีนจะเกี่ยวข้องกับลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่หนูก็ไม่รู้หรอกว่าโรงเรียนนี้เกี่ยวข้องหรือเปล่า (ยิ้ม) จากนั้นอาคารก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นโรงเรียนมงคลวิทยาในปี…
“เราโตมากับวัฒนธรรมของคนลำพูน ชอบไปเดินงานปอย ร่วมงานบุญ ก่อนหน้านี้ก็เคยทำงานรับจ้างทั่วไป จนเทศบาลฯ มาส่งเสริมเรื่องการทำโคม โดยมีสล่าจากชุมชนศรีบุญเรืองมาสอน เราก็ไปเรียนกับเขา ตอนนี้อาชีพหลักคือการทำโคม ทำมาได้ 2 ปีแล้ว สำหรับเรา โคมคืองานศิลปะ เป็นสัญลักษณ์และมรดกที่ยึดโยงกับวัฒนธรรมของคนบ้านเรา ตอนแรกเราไม่มีความคิดเลยว่ามันจะกลายมาเป็นอาชีพได้…