“พ่อผมเป็นคนปักษ์ใต้ แกขึ้นมาทำงานกรุงเทพฯ ก่อน แล้วเจ้านายส่งพ่อให้มาคุมการก่อสร้างตลาดพะเยาอาเขต และเป็นผู้จัดการขายอาคารและพื้นที่ในตลาด จนโครงการแล้วเสร็จ พ่อก็เลยได้โบนัสเป็นอาคารพาณิชย์หนึ่งหลัง แกจึงตัดสินใจปักหลักอยู่ที่นี่เลย ทำธุรกิจร้านอาหารชื่อพะเยาภัตตาคาร เปิดในปี 2529 เป็นร้านอาหารแรกๆ ในเมืองที่มีระบบแสงสีทันสมัย
ส่วนผม ตอนแรกไม่มีความคิดจะทำร้านอาหารเลยครับ ผมเป็นวิศวกรประจำโรงงานที่จังหวัดระยอง พอดีได้ภรรยาเป็นคนพะเยาเหมือนกัน ภรรยาผมเป็นพยาบาลอยู่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่แม่ของเธอป่วย ภรรยาเลยกลับมาคิดว่าด้วยอาชีพเธอ เธอดูแลคนอื่นมากมาย แต่กลับไม่ได้ดูแลแม่ตัวเองเลย สุดท้ายเราจึงตัดสินใจย้ายกลับมาที่นี่ ก็พอดีกับที่พ่อแม่ผมเขาทำธุรกิจร้านอาหารอยู่ก่อนแล้ว จึงรับสูตรทำอาหารเขามา ผมซื้ออาคารพาณิชย์ใหม่ใกล้ๆ กับศูนย์ท่ารถ ปรับปรุงรูปแบบธุรกิจที่พวกท่านทำไว้ ตั้งชื่อร้านว่าเฮียอู๊ด ข้าวต้มโต้รุ่ง ที่ใช้ชื่อนี้ เพราะเฮียอู๊ดคือชื่อพ่อผม
ความที่ผมโตมากับร้าน ผมจึงรู้ pain point ของธุรกิจนี้ดี ร้านข้าวต้มส่วนใหญ่จะเป็นที่นิยมเพราะรสชาติอร่อย เสิร์ฟเร็ว และราคาไม่แพง แต่ข้อเสียคือร้านไม่มี service mind ไม่มีระบบการจัดการที่ดี และพนักงานก็หมุนเวียนกันเข้า-ออกบ่อยเกินไป ทำให้เราต้องเสียเวลาและต้นทุนในการฝึกพนักงานใหม่
จะว่าผมนำวิธีการแบบวิศวกรมาทำแบรนด์ข้าวต้มก็ได้ คือนอกจากเซ็ทอัพสูตรอาหารให้เป็นมาตรฐานที่พ่อครัวคนไหนมาทำก็จะทำอาหารกว่า 300 เมนูนี้ได้แบบเดียวกัน ผมก็ทำคู่มือการจัดการในร้าน ซึ่งก็มีตั้งแต่วิธีการเสิร์ฟ การรักษาความสะอาด มาตรการการบริการและแก้ปัญหาให้ลูกค้า ที่สำคัญคือการสร้าง career path ให้พนักงาน ให้พวกเขามีอนาคตกับงานที่ทำกับเรา มีโบนัสตอบแทนกับความตั้งใจ หรือมีทักษะต่อยอดไปทำอย่างอื่นได้ เป็นต้น
หลังจากร้านข้าวต้มอยู่ตัว ผมก็มีโอกาสได้ทำงานเพื่อสังคมเมืองด้วย โดยขณะนี้เป็นรองประธานชมรมร้านอาหารจังหวัดพะเยา และรองเลขาธิการหอการค้าจังหวัด รวมถึงทำงานในกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ YEC ที่หันมาทำงานด้านนี้ เพราะเห็นว่าในฐานะผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ก็น่าจะมีส่วนในการนำความคิดใหม่ๆ ไปสร้างกิจกรรมเพื่อส่งเสริมธุรกิจให้เมืองได้ เพราะที่ผ่านมากิจกรรมของเมืองจะเกิดจากมุมมองของฝ่ายข้าราชการเป็นหลัก เราก็ส่งเสริมสิ่งที่ดีอยู่แล้ว รวมถึงส่งเสริมคนรุ่นใหม่ให้มาร่วมสร้างสรรค์งานให้กับเมือง เช่น งานวิ่งมาราธอน การส่งเสริมการแปรรูปสินค้าเกษตร ไปจนถึงการรวมกลุ่มธุรกิจกาแฟ เป็นต้น
ผมคิดว่าถึงพะเยาเป็นเมืองเล็กๆ แต่ความอุดมสมบูรณ์ของเราก็ทำให้เรามีพื้นที่ได้เรียนรู้อีกมาก ทั้งทรัพยากรและวิถีชีวิตรอบกว๊าน หรือองค์ประกอบของเมืองที่ค่อนข้างลงตัว การส่งเสริมเมืองแห่งการเรียนรู้ จึงไม่เพียงช่วยให้คนในเมืองสามารถพัฒนาทักษะทางวิชาชีพของตัวเองได้ แต่ในอีกแง่ มันยังทำให้แบรนด์ของเมืองเราชัดเจนขึ้น และถ้าแบรนด์ของเมืองเราชัด เป้าหมายเราจะชัดตาม
กล่าวตามตรงในฐานะที่ผมทำงานเมือง ผมพบว่าแผนพัฒนาจังหวัด 5 ปีของเรามันยังคลุมเครือในทิศทางอยู่ว่าจะไปทางไหนกันแน่ แต่พอมีแบรนด์นี้เข้ามา ไม่ได้แปลว่าเมืองของเราจะพบเป้าหมายทันทีนะครับ แต่มันก็ช่วยสร้างกระบวนเรียนรู้ ทำให้เราย้อนกลับมาสำรวจตัวเราหรือทรัพยากรรอบตัว เพื่อค้นหาว่าจริงๆ แล้วพะเยาจะพัฒนาไปยังทิศทางไหน เพราะเมืองที่น่าอยู่สำหรับทุกคน คือเมืองที่ผู้คนเข้าใจในจุดยืนของตัวเอง สร้างโจทย์การพัฒนาร่วมกัน และร่วมกันขับเคลื่อนไปสู่ทิศทางนั้น หาใช่การที่คนอื่นมาบอกว่าเมืองต้องพัฒนาไปทางไหน และเพื่อจะไปสู่จุดนี้ บรรยากาศของการเรียนรู้จึงเป็นสิ่งสำคัญ”
ฉัตรชัย พรหมทอง
เจ้าของร้านเฮียอู๊ด ข้าวต้มโต้รุ่ง และยูนากริลล์
รองเลขาธิการหอการค้าจังหวัดพะเยา
https://www.facebook.com/HiaOodKhawTomToRung/
“เมืองอาหารปลอดภัยไม่ได้ให้ประโยชน์แค่เฉพาะผู้คนในเขตเทศบาลฯแต่มันสามารถเป็นต้นแบบให้เมืองอื่น ๆ ที่อยากส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้คนได้เช่นกัน” “งานประชุมนานาชาติของสมาคมพืชสวนโลก (AIPH Spring Meeting Green City Conference 2025) ที่เชียงรายเป็นเจ้าภาพเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา เน้นย้ำถึงทิศทางการพัฒนาเมืองสีเขียว…
“ทั้งพื้นที่การเรียนรู้ นโยบายเมืองอาหารปลอดภัย และโรงเรียนสำหรับผู้สูงวัยคือสารตั้งต้นที่จะทำให้เชียงรายเป็นเมืองแห่งสุขภาพ (Wellness City)” “กล่าวอย่างรวบรัด ภารกิจของกองการแพทย์ เทศบาลนครเชียงราย คือการทำให้ประชาชนไม่เจ็บป่วย หรือถ้าป่วยแล้วก็ต้องมีกระบวนการรักษาที่เหมาะสม ครบวงจร ที่นี่เราจึงมีครบทั้งงานส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค การรักษาเมื่อเจ็บป่วย และระบบดูแลต่อเนื่องถึงบ้าน…
“การจะพัฒนาเมือง ไม่ใช่แค่เรื่องสาธารณูปโภคแต่ต้องพุ่งเป้าไปที่พัฒนาคนและไม่มีเครื่องมือไหนจะพัฒนาคนได้ดีไปกว่า การศึกษา” “แม้เทศบาลนครเชียงรายจะเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ของยูเนสโกแห่งแรกของไทยในปี 2562 แต่การเตรียมเมืองเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ว่านี้ เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นหลายสิบปี ในอดีต เชียงรายเป็นเมืองที่ห่างไกลความเจริญ ทางเทศบาลฯ เล็งเห็นว่าการจะพัฒนาเมือง ไม่สามารถทำได้แค่การทำให้เมืองมีสาธารณูปโภคครบ แต่ต้องพัฒนาผู้คนที่เป็นหัวใจสำคัญของเมือง และไม่มีเครื่องมือไหนจะพัฒนาคนได้ดีไปกว่า ‘การศึกษา’…
“ถ้าอาหารปลอดภัยเป็นทางเลือกหลักของผู้บริโภคเชียงรายจะเป็นเมืองที่น่าอยู่กว่านี้อีกเยอะ” “นอกจากบทบาทของการพัฒนาชุมชนและสังคมสงเคราะห์ กองสวัสดิการสังคม เทศบาลนครเชียงราย ยังมีกลไกในการส่งเสริมเศรษฐกิจของพี่น้อง 65 ชุมชน ภายในเขตเทศบาลฯ โดยกลไกนี้ครอบคลุมการส่งเสริมสุขภาพ และช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมในทางอ้อมด้วยกลไกที่ว่าคือ ‘สหกรณ์นครเชียงราย’ โดยสหกรณ์ฯ นี้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2560 หลักเราคือการสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชน…
“แม่อยากปลูกผักปลอดภัยให้ตัวเองและคนในเมืองกินไม่ใช่ปลูกผักเพื่อส่งขาย แต่คนปลูกไม่กล้ากินเอง” “บ้านป่างิ้ว ตั้งอยู่ละแวกสวนสาธารณะหาดนครเชียงราย เราและชุมชนฮ่องลี่ที่อยู่ข้างเคียงเป็นชุมชนเกษตรที่ปลูกพริก ปลูกผักไปขายตามตลาดมาแต่ไหนแต่ไร กระทั่งราวปี 2548 สำนักงานเกษตรอำเภอเมืองเชียงราย มาส่งเสริมให้ทำเกษตรปลอดภัย คนในชุมชนก็เห็นด้วย เพราะอยากทำให้สิ่งที่เราปลูกมันกินได้จริง ๆ ไม่ใช่ว่าเกษตรกรปลูกแล้วส่งขาย แต่ไม่กล้าเก็บไว้กินเองเพราะกลัวยาฆ่าแมลงที่ตัวเองใส่…
“วิวเมืองเชียงรายจากสกายวอล์กสวยมาก ๆขณะที่ผืนป่าชุมชนของที่นี่ก็มีความอุดมสมบูรณ์จนไม่น่าเชื่อว่านี่คือป่าที่อยู่ในตัวเมืองเชียงราย” “ก่อนหน้านี้เราเป็นพนักงานบริษัทเอกชนที่ต่างจังหวัด จนเทศบาลนครเชียงรายเขาเปิดสกายวอล์กที่ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนดอยสะเก็น และหาพนักงานนำชม เราก็เลยกลับมาสมัคร เพราะจะได้กลับมาอยู่บ้านด้วย ตรงนี้มีหอคอยชมวิวอยู่แล้ว แต่เทศบาลฯ อยากทำให้ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ก็เลยต่อขยายเป็นสกายวอล์กอย่างที่เห็น ซึ่งสุดปลายของมันยังอยู่ใกล้กับต้นยวนผึ้งเก่าแก่ที่มีผึ้งหลวงมาทำรังหลายร้อยรัง รวมถึงยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติบนภูเขา ในป่าชุมชนผืนนี้ จริง…