เราไม่ได้มองตัวเองเป็นพลเมือง แต่มองตัวเองเป็นแค่ประชากร มองเป็นแค่ผู้อยู่อาศัยในเมือง ทำให้เราไม่มีฝันของตัวเองที่เกี่ยวกับเมือง

“แม้จะเป็นเมืองศูนย์กลางทางการค้าของภาคใต้ แต่หาดใหญ่ก็กลับเป็นเมืองที่เล็กมากๆ เพราะเอาเข้าจริงก่อนเมืองมีการขยายออกในรอบหลายปีหลังมานี้ แต่เดิมความเจริญกระจุกตัวอยู่ในระยะเส้นผ่าศูนย์กลางแค่ 2 กิโลเมตรเท่านั้น เรียกว่าเดินถึงกันได้หมด

แต่ในพื้นที่เล็กๆ แค่นั้น หาดใหญ่กลับเต็มไปด้วยความหลากหลายของวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ตั้งแต่การเกิดขึ้นของชุมทางรถไฟเมื่อเกือบ 100 ปีก่อน ยุคสมัยของเหมืองแร่ สวนปาล์ม ยางพารา มาถึงของหนีภาษี และการท่องเที่ยว ซึ่งต้องยกเครดิตให้ชัยภูมิของเมือง เพราะมันมีภูเขาที่บีบเส้นทางลำเลียงทรัพยากรให้ผ่านมาทางนี้ คุณจะไป 3 จังหวัดชายแดนใต้ หรือมาเลเซีย ไม่มีทางไหนสะดวกเท่ากับผ่านหาดใหญ่ ผู้คนทั่วสารทิศจึงมากระจุกรวมกันที่นี่

เรามีชุมชนจีนดั้งเดิมที่ช่วยกันพัฒนาเมืองซึ่งส่วนใหญ่อยู่แถวศรีนคร ชาวมุสลิมที่มาตั้งบ้านเรือนแถววงเวียนน้ำพุและหาดใหญ่ใน คนซิกข์จากรัฐปัญจาบก็เดินทางมาค้าขายและตั้งรกรากแถวโรงพัก คนเหนือที่เข้ามาทำงานบริการแถวเสน่หานุสรณ์ และตั้งชุมชนอยู่แถวทุ่งเสา ตามมาด้วยคนอีสานที่มาใช้แรงงานก็อยู่ร่วมกับคนเหนือที่ทุ่งเสาจนเกิดเป็นชมรมชาวเหนือ-อีสานขึ้น อีกทั้งชาวเมียนมาร์และกัมพูชาที่อยู่อาศัยแถวที่ดินรถไฟ เป็นต้น

ผมไม่ได้เกิดหาดใหญ่ แต่ก็มาทำงานที่นี่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 และความที่เป็นผู้จัดรายการวิทยุเกี่ยวกับเมือง ก็เลยพอมองเห็นปัญหาของเมืองนี้อยู่ 2 มิติ คือมิติของพลเมือง และมิติของผู้เสนอตัวมาบริหารบ้านเมือง

เริ่มจากมิติพลเมือง ซึ่งอาจไม่ใช่ทุกที่ในประเทศนี้ แต่ผมคิดว่าน่าจะเป็นส่วนใหญ่ กล่าวคือคนในสังคมเมืองรู้จักตัวเองน้อยไป เข้าใจในศักยภาพตัวเองน้อยเกินไป ทั้งที่จริงๆ ทุกคนมีส่วนในการพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงเมืองเราได้

เราเคยชินกับการยกภาระการพัฒนาเมืองให้คนที่มาเสนอตัวบริหารบ้านเมือง ถ้าเขาทำงานไม่ได้ดังใจเราก็บ่น หนักข้อเข้าถึงเวลาก็เลือกตั้งใหม่เปลี่ยนคน ก็เหมือนที่เราคิดว่าโรคภัยไข้เจ็บเป็นหน้าที่ของหมอที่ต้องจัดการ ทั้งๆ ที่ในหนึ่งปีเราอาจเจอคุณหมอจากการตรวจสุขภาพแค่ครั้งเดียว ในขณะที่เราอยู่กับตัวเองตลอด 24 ชั่วโมง เรากลับไม่สนใจดูแลตัวเอง และยกหน้าที่นี้ให้หมอจัดการ

เช่นเดียวกับพลเมือง เราไม่ได้มองตัวเองเป็นพลเมือง แต่มองตัวเองเป็นแค่ประชากร มองเป็นแค่ผู้อยู่อาศัยในเมือง ทำให้เราไม่มีฝันของตัวเองที่เกี่ยวกับเมือง อนาคตของเราจึงตกไปอยู่กับที่คนที่เขาเข้ามาดูแลเมือง

สิ่งนี้จึงส่งผลกระทบไปที่มิติที่สองคือคนที่อาสาเข้ามาบริหารบ้านเมือง เพราะเมื่อประชาชนไม่มีภาพฝัน คนที่เข้ามาบริหารก็ไม่มีทางเห็น และสิ่งที่พวกเขาทำจึงอาจไม่ตอบสนองกับความต้องการที่แท้จริงของคนในเมือง การพัฒนาเมืองจึงมีต้นทางมาจากภาพฝันของคนในทีมบริหาร หรือนโยบายที่เขาออกแบบในช่วงเวลาสั้นๆ หรือหนักเข้าอาจเป็นเพียงความคิดชั่ววูบเพื่อหาเสียงเลือกตั้ง ที่ผ่านมาเราจึงเห็นหลายโครงการที่ถูกสร้างมาแล้วไม่เกิดประโยชน์ต่อเมืองอย่างยั่งยืน


หรือที่ล่าสุดกับโครงการรถไฟฟ้ารางเดี่ยวที่รัฐมองว่าจะมาช่วยแก้ปัญหาจราจร ซึ่งผมไม่คิดว่าการลงทุนถึงหนึ่งหมื่นล้านกว่าบาทนี้จะคุ้มค่าหรือมีความยั่งยืน เพราะเรามีระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่สามารถมาปรับใช้ให้ลงตัวและตอบโจทย์ได้ สู้นำเงินก้อนนี้ไปพัฒนาระบบขนส่งมวลชนจากทรัพยากรที่เรามีอยู่แล้ว หรือการทำที่จอดรถ พื้นที่สีเขียว และทางเดินเท้าให้ครอบคลุมและใช้ประโยชน์ได้จริง เหล่านี้อาจสร้างประโยชน์ได้มากกว่าการมีระบบรถไฟฟ้าเพิ่มเข้ามา

นั่นแหละครับ ผมจึงมองว่าเป็นเรื่องสำคัญมากที่คนหาดใหญ่ต้องรู้จักตัวเองก่อน รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร และอยากมีชีวิตอยู่ในเมืองแบบไหน พอรู้แล้ว เราก็จะหาวิธีสร้างการมีส่วนร่วมเพื่อไปถึงเป้าหมายนั้น ขณะเดียวกันคนที่อาสามาบริหารบ้านเมืองก็จะได้เห็นภาพของการพัฒนาเมืองที่ตรงกัน จนเกิดการใช้งบประมาณที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนในเมืองอย่างแท้จริง

ถ้าเกิดสองฝ่ายไม่มีฝันร่วมกัน ไม่แลกเปลี่ยน หรือทำงานร่วมกัน เมืองหาดใหญ่ก็ไปต่อไม่ได้ หรือถ้าไปต่อได้ ก็อาจไม่ใช่เมืองที่คนในพื้นที่จริงๆ อยากให้เป็น”  

บัญชร วิเชียรศรี
ผู้ช่วยหัวหน้าสถานีวิทยุ ม.อ. หาดใหญ่

กองบรรณาธิการ

Recent Posts

[THE RESEARCHER]<br />ดร.สุดารัตน์ อุทธารัตน์<br />หัวหน้าโครงการวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด เทศบาลเมืองลำพูน<br />นักวิจัยจากสถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

พลังคน พลังโคมลำพูน: เมืองเล็ก ๆ ที่เปี่ยมไปด้วยพลังสร้างสรรค์ แม้ ดร.สุดารัตน์ อุทธารัตน์ เป็นคนเชียงใหม่ เธอก็หาใช่เป็นคนอื่นคนไกลสำหรับชาวลำพูนเพราะก่อนจะเข้ามาขับเคลื่อนงานวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาดกับเทศบาลเมืองลำพูน เธอได้ทำวิจัยเกี่ยวกับเมืองแห่งนี้มาหลายครั้ง โดยเฉพาะโครงการขับเคลื่อนเยาวชนเพื่อเตรียมพร้อมสู่การเป็นพลเมืองของเมืองแห่งการเรียนรู้ของ UNESCO ในปี 2566-2567 - นั่นล่ะ…

1 week ago

[THE CITIZENS]<br />ปริยาพร วีระศิริ<br />เจ้าของแบรนด์ผ้าไหม “อภิรมย์ลำพูน”

“เป็นสิ่งวิเศษที่สุด ที่ผ้าไหมของจังหวัดลำพูนได้ปรากฏต่อสายตาผู้คนทั้งในและต่างประเทศ ทั้งเมื่อครั้งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงให้การส่งเสริม และทรงฉลองพระองค์ด้วยผ้าไหมยกดอกลำพูนในพระราชพิธีสำคัญต่าง ๆ และกระทั่งในปัจจุบัน สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 10 ก็ทรงส่งเสริมผ้าไหมไทย และฉลองพระองค์ด้วยผ้าไหมยกดอกลำพูนในพระราชพิธีสำคัญเช่นกัน ดิฉันเป็นคนลำพูน มีความภูมิใจในงานหัตถศิลป์การทอผ้าไหมยกดอกนี้มาก ๆ   และตั้งใจจะรักษามรดกทางวัฒนธรรม   ทำหน้าที่ส่งต่อถึงคนรุ่นต่อไป…

2 weeks ago

[THE CITIZENS]<br />ไชยยง รัตนอังกูร<br />ผู้ก่อตั้ง ลำพูน ซิตี้ แลป

“ความที่โตมาในลำพูน เราตระหนักดีว่าเมืองเรามีต้นทุนทางวัฒนธรรมที่สูงมาก ทั้งยังมีบรรยากาศที่น่าอยู่ อย่างไรก็ดี อาจเพราะเป็นเมืองขนาดเล็ก ลำพูนมักถูกมองข้ามจากแผนการพัฒนาของประเทศ เป็นเหมือนเมืองที่มีศักยภาพ แต่ยังไม่ถูกปลุกให้ตื่นความที่เราเคยทำงานที่ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (ปัจจุบันคือสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA - ผู้เรียบเรียง) ได้เห็นตัวอย่างความสำเร็จของกระบวนการพัฒนาย่านด้วยกรอบพื้นที่สร้างสรรค์ในหลายพื้นที่…

2 weeks ago

[THE CITIZENS]<br />ธีรธรรม เตชฤทธ์<br />ประธานสภาเด็กและเยาวชนจังหวัดลำพูน

“ผมเป็นคนลำพูน และชอบทำกิจกรรมนอกห้องเรียนมาตั้งแต่เด็ก ปัจจุบันเป็นประธานสภาเด็กและเยาวชนจังหวัดลำพูน ควบคู่ไปกับกำลังศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จากประสบการณ์การทำงานในสภาฯ ทำให้ผมเห็นว่า เยาวชนลำพูนมีศักยภาพที่หลากหลาย แต่สิ่งที่ขาดไปคือเวทีที่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสดงความสามารถและพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากการสนับสนุนจากโรงเรียนหรือโครงการของภาคเอกชน ปี 2567 พี่อร (ดร.สุดารัตน์ อุทธารัตน์…

2 weeks ago

[THE CITIZENS]<br />ชนัญชิดา บุณฑริกบุตร<br />ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ชุมชนเมืองลำพูน

“อาคารหลังนี้แต่ก่อนเป็นที่ประทับของเจ้าราชสัมพันธวงษ์ลำพูน (พุทธวงษ์ ณ เชียงใหม่) น้องเขยของเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าหลวงองค์สุดท้ายของลำพูน อาคารถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 2455 หลังจากนั้นก็ถูกขายให้พ่อค้าชาวจีนไปทำเป็นโรงเรียนหวุ่นเจิ้ง สอนภาษาจีนและคณิตศาสตร์ โรงเรียนนี้เปิดได้ไม่นานก็ต้องปิด เพราะสมัยนั้นรัฐบาลเพ่งเล็งว่าอะไรที่เป็นของจีนจะเกี่ยวข้องกับลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่หนูก็ไม่รู้หรอกว่าโรงเรียนนี้เกี่ยวข้องหรือเปล่า (ยิ้ม)  จากนั้นอาคารก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นโรงเรียนมงคลวิทยาในปี…

2 weeks ago

[THE CITIZENS]<br />นงเยาว์ ชัยพรหม<br />คนทำโคมจากชุมชนชัยมงคล

“เราโตมากับวัฒนธรรมของคนลำพูน ชอบไปเดินงานปอย ร่วมงานบุญ ก่อนหน้านี้ก็เคยทำงานรับจ้างทั่วไป จนเทศบาลฯ มาส่งเสริมเรื่องการทำโคม โดยมีสล่าจากชุมชนศรีบุญเรืองมาสอน เราก็ไปเรียนกับเขา ตอนนี้อาชีพหลักคือการทำโคม ทำมาได้ 2 ปีแล้ว  สำหรับเรา โคมคืองานศิลปะ เป็นสัญลักษณ์และมรดกที่ยึดโยงกับวัฒนธรรมของคนบ้านเรา ตอนแรกเราไม่มีความคิดเลยว่ามันจะกลายมาเป็นอาชีพได้…

2 weeks ago