“ในฐานะอาจารย์สอนศิลปะและการออกแบบที่มหาวิทยาลัยพะเยา ผมพยายามสื่อสารกับทางมหาวิทยาลัยมาตลอดว่าเราควรมีหอศิลป์ไว้แสดงงานนักศึกษานะ เพราะเรามีคณะทางศิลปะ แต่ไม่มีที่แสดงงานให้พวกเขา มันก็ไม่ใช่ หลังจากขับเคลื่อนเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง แต่ด้วยปัจจัยอะไรสักอย่างหอศิลป์จึงเกิดไม่ได้เสียที ผมจึงตัดสินใจลงมือทำด้วยเงินทุนตัวเอง
จะบอกว่าเป็นหอศิลป์ก็ไม่ถูกหรอก เป็นพื้นที่ศิลปะเสียมากกว่า ผมก่อตั้ง ‘อย่าเห็นแก่ตัวสถาน’ ขึ้นจากการรีโนเวทบ้านไม้ให้เช่าในตัวเมืองพะเยา ชั้นบนเป็นแกลเลอรี่แสดงงาน ส่วนชั้นล่างเป็นบาร์ขายเหล้า สาเหตุที่เลือกในตัวเมือง เพราะตอนนั้นพะเยายังไม่มีอาร์ทสเปซ และก็อยากให้นักศึกษาเข้ามามีปฏิสัมพันธ์ในเมืองด้วย ไม่ใช่แค่แสดงงานนักศึกษาอย่างเดียว อาจารย์ก็แสดงด้วย ศิลปินที่อื่นอยากมาแสดงก็มาได้ จะจัดเสวนา เวิร์คช็อป และปาร์ตี้ผมเปิดเต็มที่ ให้มันเป็นพื้นที่กึ่งๆ สาธารณะของเมืองไปพร้อมกัน แต่เปิดได้ปีกว่า เจ้าของตึกเขาขอคืน ก็เลยต้องคืนเขาไป
ความที่เราเริ่มไว้แล้ว ผมจึงคิดว่ายังไงก็ต้องทำต่อ หลังจากเว้นวรรคไปหลายปี ก็ได้อาคารที่อยู่ตรงข้ามโรงหนังเก่ามาทำ ผมตั้งชื่อใหม่ว่า PYE Space มีรูปแบบคล้ายๆ เดิม แต่รอบนี้มีพื้นที่ใหญ่ขึ้น ก็เลยได้ทำห้องฉายหนัง และจัดกิจกรรมได้หลากหลาย โดยชั้นบนเรายังเปิดเป็น art residency ชวนนักศึกษาหรือศิลปินรุ่นใหม่ที่เห็นแววมาพำนักกับเรา และให้พื้นที่เขาได้คิด ได้ทำงาน
หลังทำ PYE Space มาได้ 2 ปีกว่า ความที่พื้นที่ของผมตั้งอยู่ตรงข้ามโรงภาพยนตร์เก่าของเมืองที่ชื่อพะเยารามา ซึ่งมันถูกทิ้งร้างไว้หลายปี และมีข่าวว่าโรงหนังเก่าแก่คู่เมืองแห่งนี้กำลังจะถูกรื้อและรีโนเวทไปทำอย่างอื่น ก็เลยคิดว่าเราน่าจะเล่นอะไรกับพื้นที่เพื่อเป็นการบอกลา จึงทำ proposal ไปเสนอเจ้าของพื้นที่กับเทศบาลว่าจะทำอีเวนท์ฉายหนังกับเทศกาลศิลปะตรงนั้นนะ ซึ่งทางเจ้าของเขาไม่ติด และทางนายกเทศมนตรีในตอนนั้นก็เห็นด้วย ก็เลยระดมทุนช่วยกันปรับปรุงพื้นที่
โปรเจกต์ ‘พะเยารามา 2516-2564’ (จัดขึ้นในเดือนมกราคม 2564) ได้รับเสียงตอบรับที่ดีมาก เพราะพื้นที่มันเชื่อมโยงกับความทรงจำของคนในเมือง ขณะเดียวกันเมืองเราก็ไม่เคยมีกิจกรรมสร้างสรรค์แบบนี้มาก่อน ซึ่งยังเปิดมุมมองให้คนในเมืองเห็นว่าเราสามารถเอาพื้นที่ที่ถูกมองข้ามอย่างนี้มาจัดกิจกรรมได้ หลังจากนั้นเฮียหมู (คงศักดิ์ ธนานิศร) เจ้าของโรงหนังเมืองทองรามา โรงหนังแบบสแตนด์อโลนคู่เมืองอีกแห่ง ก็ชวนให้ผมใช้พื้นที่เขาทำกิจกรรม ก็เลยได้เทศกาลฉายหนังและแสดงงานนักศึกษาเพิ่มอีกแห่ง
ในปีนั้นเองสำนักส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) ก็ยังให้ทุนสนับสนุนมาทำงานกับพื้นที่ในเมืองต่อ จึงเกิดงาน Phayao Art & Creative Festival (วันที่ 7 สิงหาคม – 3 ตุลาคม 2564) ครั้งแรกขึ้นมา โดยคราวนี้ ผมได้ใช้พื้นที่ชั้นสองของตลาดอาเขต ตลาดสดเก่าแก่กลางเมืองที่บริเวณชั้นสองถูกทิ้งร้างไว้ และจนทุกวันนี้ ทางตลาดเขาก็ให้พื้นที่ผมจัดแสดงงานศิลปะต่อเนื่อง ก็เลยกลายเป็นหอศิลป์อย่างไม่เป็นทางการของนักศึกษาไปโดยปริยาย
นับตั้งแต่เริ่มอย่าเห็นแก่ตัวสถานมาจนถึงทุกวันนี้ก็เกิน 10 ปีแล้ว ถึงผมภูมิใจที่ได้ริเริ่มโครงการหลาย อย่างขึ้นมา แต่เอาจริงๆ ผมไม่ได้ดีใจที่ทุกวันนี้ PYE Space ยังคงเป็นพื้นที่ศิลปะแห่งเดียวของเมืองอยู่นะ พะเยาควรมีพื้นที่สร้างสรรค์มากกว่านี้ครับ จริงอยู่แม้จะเห็นความหวังจากคนรุ่นใหม่ที่กลับมาทำกิจกรรมที่ขับเคลื่อนความคิดสร้างสรรค์ในเมืองอยู่ แต่เราต้องอาศัยแรงขับเคลื่อนมากกว่านี้จากผู้ใหญ่และหน่วยงานต่างๆ
ทุกวันนี้พะเยาน่าอยู่และมีเสน่ห์ในตัวเองอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณนำความคิดสร้างสรรค์มาช่วยพัฒนาเมือง ผมว่าพะเยาจะสร้างโอกาสให้นักศึกษาและผู้คนในเมืองมากกว่านี้อีกเยอะครับ”
ปวินท์ ระมิงค์วงศ์
อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา
และผู้ก่อตั้ง PYE Space
“เมืองอาหารปลอดภัยไม่ได้ให้ประโยชน์แค่เฉพาะผู้คนในเขตเทศบาลฯแต่มันสามารถเป็นต้นแบบให้เมืองอื่น ๆ ที่อยากส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้คนได้เช่นกัน” “งานประชุมนานาชาติของสมาคมพืชสวนโลก (AIPH Spring Meeting Green City Conference 2025) ที่เชียงรายเป็นเจ้าภาพเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา เน้นย้ำถึงทิศทางการพัฒนาเมืองสีเขียว…
“ทั้งพื้นที่การเรียนรู้ นโยบายเมืองอาหารปลอดภัย และโรงเรียนสำหรับผู้สูงวัยคือสารตั้งต้นที่จะทำให้เชียงรายเป็นเมืองแห่งสุขภาพ (Wellness City)” “กล่าวอย่างรวบรัด ภารกิจของกองการแพทย์ เทศบาลนครเชียงราย คือการทำให้ประชาชนไม่เจ็บป่วย หรือถ้าป่วยแล้วก็ต้องมีกระบวนการรักษาที่เหมาะสม ครบวงจร ที่นี่เราจึงมีครบทั้งงานส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค การรักษาเมื่อเจ็บป่วย และระบบดูแลต่อเนื่องถึงบ้าน…
“การจะพัฒนาเมือง ไม่ใช่แค่เรื่องสาธารณูปโภคแต่ต้องพุ่งเป้าไปที่พัฒนาคนและไม่มีเครื่องมือไหนจะพัฒนาคนได้ดีไปกว่า การศึกษา” “แม้เทศบาลนครเชียงรายจะเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ของยูเนสโกแห่งแรกของไทยในปี 2562 แต่การเตรียมเมืองเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ว่านี้ เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นหลายสิบปี ในอดีต เชียงรายเป็นเมืองที่ห่างไกลความเจริญ ทางเทศบาลฯ เล็งเห็นว่าการจะพัฒนาเมือง ไม่สามารถทำได้แค่การทำให้เมืองมีสาธารณูปโภคครบ แต่ต้องพัฒนาผู้คนที่เป็นหัวใจสำคัญของเมือง และไม่มีเครื่องมือไหนจะพัฒนาคนได้ดีไปกว่า ‘การศึกษา’…
“ถ้าอาหารปลอดภัยเป็นทางเลือกหลักของผู้บริโภคเชียงรายจะเป็นเมืองที่น่าอยู่กว่านี้อีกเยอะ” “นอกจากบทบาทของการพัฒนาชุมชนและสังคมสงเคราะห์ กองสวัสดิการสังคม เทศบาลนครเชียงราย ยังมีกลไกในการส่งเสริมเศรษฐกิจของพี่น้อง 65 ชุมชน ภายในเขตเทศบาลฯ โดยกลไกนี้ครอบคลุมการส่งเสริมสุขภาพ และช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมในทางอ้อมด้วยกลไกที่ว่าคือ ‘สหกรณ์นครเชียงราย’ โดยสหกรณ์ฯ นี้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2560 หลักเราคือการสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชน…
“แม่อยากปลูกผักปลอดภัยให้ตัวเองและคนในเมืองกินไม่ใช่ปลูกผักเพื่อส่งขาย แต่คนปลูกไม่กล้ากินเอง” “บ้านป่างิ้ว ตั้งอยู่ละแวกสวนสาธารณะหาดนครเชียงราย เราและชุมชนฮ่องลี่ที่อยู่ข้างเคียงเป็นชุมชนเกษตรที่ปลูกพริก ปลูกผักไปขายตามตลาดมาแต่ไหนแต่ไร กระทั่งราวปี 2548 สำนักงานเกษตรอำเภอเมืองเชียงราย มาส่งเสริมให้ทำเกษตรปลอดภัย คนในชุมชนก็เห็นด้วย เพราะอยากทำให้สิ่งที่เราปลูกมันกินได้จริง ๆ ไม่ใช่ว่าเกษตรกรปลูกแล้วส่งขาย แต่ไม่กล้าเก็บไว้กินเองเพราะกลัวยาฆ่าแมลงที่ตัวเองใส่…
“วิวเมืองเชียงรายจากสกายวอล์กสวยมาก ๆขณะที่ผืนป่าชุมชนของที่นี่ก็มีความอุดมสมบูรณ์จนไม่น่าเชื่อว่านี่คือป่าที่อยู่ในตัวเมืองเชียงราย” “ก่อนหน้านี้เราเป็นพนักงานบริษัทเอกชนที่ต่างจังหวัด จนเทศบาลนครเชียงรายเขาเปิดสกายวอล์กที่ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนดอยสะเก็น และหาพนักงานนำชม เราก็เลยกลับมาสมัคร เพราะจะได้กลับมาอยู่บ้านด้วย ตรงนี้มีหอคอยชมวิวอยู่แล้ว แต่เทศบาลฯ อยากทำให้ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ก็เลยต่อขยายเป็นสกายวอล์กอย่างที่เห็น ซึ่งสุดปลายของมันยังอยู่ใกล้กับต้นยวนผึ้งเก่าแก่ที่มีผึ้งหลวงมาทำรังหลายร้อยรัง รวมถึงยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติบนภูเขา ในป่าชุมชนผืนนี้ จริง…