“แม่กำลังผูกเปียให้อาม่าจะไปโรงเรียน ได้ยินเขาตะโกนกันว่าไฟไหม้ อาม่าก็เลยจะวิ่งไปดู ก็เด็กอ่ะเนอะตอนนั้น”

Start
285 views
16 mins read

“ปี พ.ศ. 2500 อาม่าเรียนอยู่ชั้น ป.4 ที่โรงเรียนสิ่นหมิน เช้าวันที่ 2 มกราคม อาม่าจะไปโรงเรียนตามปกติ ระหว่างแม่กำลังผูกเปียให้ ได้ยินเสียงคนตะโกนว่าไฟไหม้ อาม่าก็ตื่นเต้นอยากไปดูไฟ เด็กอ่ะเนอะ แม่ก็ไม่ยอม บอกให้ผูกเปียให้เสร็จก่อน จนผูกเปียเสร็จนั่นแหละ คิดว่าไฟไหม้เล็กๆ ที่ไหนได้ เปลวเพลิงใหญ่มากๆ ไฟลามไปทั่ว

ทีนี้เตี่ยอาม่าก็เกณฑ์เพื่อนคนจีนที่ทำไร่อยู่แถวนั้นมาช่วยกันขนของ บ้านอาม่าเปิดเป็นร้านโชห่วยมีตั้ง 3 คูหา คูหานึงขายรองเท้า อีกคูหาขายเสื้อผ้า อีกคูหาขายเครื่องสำอาง เลือกไม่ถูกเลยทีนี้ว่าจะขนอะไรก่อน ส่วนแม่ก็บอกอาม่าว่าไม่ต้องไปโรงเรียนแล้ว ให้อาม่าขนน้องๆ อีก 2 คนหนีไปหลบอยู่ที่โรงสีที่มีเจ้าของเป็นเพื่อนเตี่ย

โรงสีอยู่ไม่ไกลมาก แต่ก็ไกลพอที่ไฟจะลามไปไม่ถึง พวกเราก็วิ่งไปอยู่ที่นั่น ระหว่างที่หลบอยู่นั่น อาม่าเห็นเปลวไฟลุกไหม้ขึ้นไปถึงท้องฟ้า ตอนเด็กๆ เราไม่ได้คิดอะไรมาก เห็นว่ามันแปลกตาดี ซึ่งมาคิดตอนหลัง นั่นเป็นภาพที่เศร้ามากเลยนะ เพราะไฟไหม้วันนั้นมันเผาตึกแถวที่เป็นไม้หมดไปทั้งเมืองจริงๆ

เตี่ยอาม่าคือลูกชายของเตียก้ำชอ ที่ต่อมาได้พระราชทานชื่อเป็นขุนกิตติกรพานิช อดีตทหารจีนฝ่ายก๊กมินตั๋ง ที่อพยพมาพิษณุโลกก่อนสงครามกลางเมือง ท่านเป็นเพื่อนกับเจียงไคเชก เลยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับจีนคณะชาติที่ไต้หวัน ท่านก็มาบุกเบิกทำการค้าในเมืองพิษณุโลกแห่งนี้ โดยหลังไฟไหม้ครั้งใหญ่ อากงท่านก็ไปกู้เงินธนาคารมาปลูกอาคารคอนกรีตแถวย่านตลาดใต้และแบ่งขาย

อย่างตึกที่เราคุยกันอยู่นี่ก็เป็นบ้านที่อากงปลูก ก่อนจะยกให้ลูกหลานรวมถึงเตี่ย โดยบ้านหลังนี้อากงยกให้เตี่ยก่อน แล้วท่านก็ยกให้อาม่า ตึกแถวในซอยนี้เป็นของครอบครัวเราหมด ก็อยู่กันมา 4 รุ่นแล้ว

อาม่ามีพี่น้อง 7 คน อาม่าเป็นคนที่ 4 ก่อนอาม่ามีพี่สาว 2 คน และพี่ชายอีก 1 คน พี่ชายอาม่าคือคุณสุรพันธ์ เจริญผล แกเคยเป็นนายกเทศมนตรีเมืองพิษณุโลกอยู่หลายสมัย ซึ่งก่อนหน้านี้แกทำโรงหนังกิตติกรที่ตลาดใต้ หลังจากนั้นก็ไปทำโรงหนังอีกหลายแห่งในภาคเหนือ รวมถึงเชียงใหม่ คุณมาจากเชียงใหม่ใช่ไหม? น่าจะเคยได้ยินโรงหนังแสงตะวัน นั่นแหละเคยเป็นของพี่ชายอาม่า

ที่พี่ชายมาทำธุรกิจโรงหนัง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเตี่ย เตี่ยอาม่าเริ่มทำก่อนคือโรงหนังเจริญผล ตอนแรกเตี่ยก็ไม่คิดจะทำธุรกิจนี้หรอก แต่แกมีเพื่อนสนิททำโรงหนังยอดฟ้าอยู่ก่อน โรงหนังยอดฟ้าอยู่ตรงท็อปแลนด์ ได้รับความนิยมมาก ตอนนั้นเมืองเราไม่มีสถานบันเทิงอะไรเยอะแยะเหมือนทุกวันนี้ เพื่อนเตี่ยก็ชวนเตี่ยให้ทำโรงหนัง ซึ่งเตี่ยก็เห็นดีด้วย เพราะเห็นที่ดินตรงตลาดเจริญผลว่างอยู่พอดี ก็เลยทำโรงหนังเจริญผล

ตอนเตี่ยเริ่มทำโรงหนัง อาม่าเรียนอยู่ชั้นมัธยมแล้ว เตี่ยส่งอาม่าไปเรียนต่อกรุงเทพฯ แต่เรียนได้สักพักหนึ่ง อาม่าเกิดคิดถึงบ้าน ก็พอดีกับช่วงนั้นพี่ชายอาม่าไปเรียนต่อที่ไต้หวัน อาม่าจึงอยากกลับมาช่วยเตี่ยกับแม่ ดื้อจนเขายอม เลยได้กลับมาช่วยเขาเป็นพนักงานจองตั๋วหนังที่เจริญผล

ค่าตั๋วสมัยก่อนถูกสุดที่นั่งละ 3 บาท จะอยู่ใกล้จอที่สุด เป็นเก้าอี้ไม้ ไม่มีเบาะ ถ้ามีเบาะจะราคา 6 บาท ที่นั่งดีสุดคือ 10 บาท ส่วนที่จอดรถก็คิดค่าจอดจักรยาน 50 สตางค์ มอเตอร์ไซค์คันละ 1 บาท สมัยนั้นไม่ค่อยมีคนขับรถยนต์ เลยไม่มีที่รับฝาก โรงหนังเจริญผลเราฉายหนังฝรั่งเป็นหลัก ก็ได้น้องชายเตี่ย หรืออาของอาม่าเป็นคนบุ๊คหนังมาให้ เขาทำงานที่บริษัทเอสโซ่ในกรุงเทพฯ ก็จะจัดแจงจองหนังจากกรุงเทพฯ และส่งม้วนฟิล์มทางรถไฟตอนกลางคืนมาถึงพิษณุโลกตอนเช้า เราก็ส่งคนขี่มอเตอร์ไซค์ไปรับที่สถานี จากนั้นก็เอามาให้นักพากย์ซ้อมพากย์บท เพราะยุคนั้นไม่มีเสียงในฟิล์ม ใช้คนพากย์เสียงเอาทั้งหมด  

โรงหนังเราจะฉายวันละ 3 รอบ รอบแรกคือตอนเที่ยง กลางคืนมาอีกสองรอบ คนดูเยอะมากๆ เพราะตอนนั้นพิษณุโลกมีโรงหนังยอดนิยมแค่สองแห่ง คือของเรากับโรงหนังยอดฟ้า เพื่อนของเตี่ย

อย่างที่บอกแหละ ภายหลังคุณสุรพันธ์พี่ชายอาม่ากลับมา แกก็เห็นช่องทางทำธุรกิจ ไปเซ้งโรงหนังศิวะลัยตรงตลาดใต้ และเปลี่ยนชื่อเป็นกิตติกร ก่อนจะขยายไปทำที่อื่น แล้วกลับมาเล่นการเมืองที่บ้านเกิด

ที่โรงหนังปิดตัวเพราะขาดทุนค่ะ ช่วงหลังๆ คนไม่ดูหนังในโรง เพราะทุกบ้านมีโทรทัศน์และเครื่องเล่นวิดีโอกันหมด เขาก็เช่าวิดีโอมาดูที่บ้าน คนดูลดลง แต่ต้นทุนยังเท่าเดิม ต้องแบกรับสภาพขาดทุนมาพักใหญ่ๆ แล้วพอดีแม่อาม่าเสียตอนอายุ 66 และเตี่ยมาเสียหลังจากนั้นอีก 4 ปี ก็ไม่มีกำลังใจทำต่อด้วยก็เลยปิดดีกว่า

ทุกวันนี้อาม่าก็อยู่บ้านกับน้ำพุ ลูกคนเดียวของอาม่า ตอนแรกน้ำพุทำงานบริษัทอยู่กรุงเทพฯ แต่โชคไม่ดีที่พ่อของเขา หรือสามีอาม่าอายุสั้น น้ำพุเลยตัดสินใจลาออก มาอยู่เป็นเพื่อนด้วย เขาก็ทำโรงเรียนกวดวิชาของเขาไป 

ปีนี้อาม่าอายุ 80 แล้ว ก็มีโรคเล็กๆ น้อยๆ ตามประสาคนแก่ แต่โดยรวมก็ยังแข็งแรงดี และความทรงจำก็ยังดี โดยเฉพาะเรื่องที่เกิดในเมืองพิษณุโลก เมืองที่อาม่าอยู่มาทั้งชีวิต ถ้าคุณมีเวลาอยู่ต่อ อยากรู้เรื่องอะไรอีก อาม่าจะเล่าให้ฟัง”

อาม่าสุรพี เจริญผล
อดีตเจ้าของโรงภาพยนตร์เจริญผล
ทายาทรุ่นที่
3 ของขุนกิตติกรพานิช

กองบรรณาธิการ

ในปีพ.ศ.2563-2564 หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ได้สนับสนุนและผลักดันการพัฒนาเมืองในประเทศไทยเพื่อพัฒนาเมืองแห่งการเรียนรู้ (Learning City) โดยเริ่มดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมแล้วทั้งหมด 18 เมือง 20 ชุดโครงการ และ 41 ชุดโครงการย่อย