“ตอนเด็ก ๆ เราแทบไม่ได้ผูกพันกับลำพูน บ้านเกิดเลยนะ เราถูกส่งไปเรียนที่เชียงใหม่ เรียนมหาวิทยาลัยที่ขอนแก่น จบมาก็ไปทำงานกรุงเทพฯ อยู่หลายปี ระหว่างนั้นก็กลับมาเยี่ยมแม่บ้าง ไป ๆ มา ๆ ก็เริ่มรู้สึกเป็นห่วงเขา สุดท้ายเลยตัดสินใจย้ายกลับมาทำงานในนิคมอุตสาหกรรมที่ลำพูน
ถึงพ่อแม่เราจะรับราชการครู เราก็ไม่เคยคิดจะทำงานราชการมาก่อน แต่แล้ววันหนึ่ง นายกเทศมนตรีเมืองลำพูน ซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่นิด้าของเจ้านายเราในตอนนั้น กำลังหาคนรุ่นใหม่มาช่วยทำงาน ท่านเห็นว่าเราน่าจะมีศักยภาพ ก็เลยชวนเข้ามาร่วมทีม

ตอนนั้นเราอายุแค่ 29 ปี แทบไม่รู้เลยว่าเทศบาลฯ มีระบบการทำงานอย่างไร คอนเน็กชันก็ไม่มี เหมือนเริ่มจากศูนย์
เราเริ่มจากตำแหน่งคณะเทศมนตรี ก่อนจะได้รับแต่งตั้งเป็นรองนายกฯ และทำงานต่อเนื่องมากว่า 20 ปี เราไม่ได้มีธุรกิจครอบครัวเหมือนนักการเมืองท้องถิ่นส่วนใหญ่ ไม่มีภาระทางบ้านมากนัก และที่สำคัญ เราชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ นั่นทำให้นายกฯ มอบหมายให้ดูแลงานที่หลากหลาย โดยเฉพาะการผลักดันโครงการต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อเมือง โดยสิ่งหนึ่งที่เรายึดมาตลอดคือ งานวิจัยจากสถาบันไหนที่ส่งมา เราจะพิจารณาเองทั้งหมด เพื่อให้มั่นใจว่ามันตอบโจทย์กับบริบทของคนในเมืองจริง ๆ ไม่ใช่แค่งานที่ขอทุนมาทำให้เสร็จ ๆ ไป
ส่วนใหญ่เราจะเป็นคนประสานงานเอง เพราะนักวิจัยมักมาจากนอกพื้นที่ เราต้องเข้าไปคุยกับชาวบ้าน สรุปแนวคิดเชิงวิชาการให้เข้าใจง่าย และทำให้เห็นว่าเขาจะได้ประโยชน์อะไร เมืองจะได้อะไร เพื่อให้ชาวบ้านเปิดใจและให้ความร่วมมือ งานวิจัยถึงจะฟังก์ชันได้จริง
สิ่งที่เราประทับใจมากคือ คนลำพูนนั้นตระหนักถึงความเป็นเจ้าของเมือง พวกเขาอยากมีส่วนร่วมกับการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ หวงแหนวัฒนธรรม แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธความเจริญ ถ้ามันสอดคล้องกับวิถีของคนส่วนใหญ่
ลองดูย่านเมืองเก่าสิ ถ้าเป็นเมืองอื่น ตึกเก่า ๆ คงติดป้ายให้เช่ากันเต็มไปหมดแล้ว แต่ที่นี่ คนลำพูนยังเลือกอยู่ในบ้านของตัวเอง หรือให้ลูกหลานมาทำธุรกิจ เมืองจึงยังคงเป็น ‘เมืองของคนท้องถิ่น’ ไม่ใช่เมืองที่เต็มไปด้วยคนจากที่อื่นที่เข้ามาอยู่
เพราะแบบนี้ เทศบาลฯ จึงต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้เติบโต และทำให้คนลำพูนอยากกลับมาอยู่บ้าน โดยเทศกาลโคมลำพูนก็เป็นหนึ่งในแนวทางนั้น
เทศกาลนี้เกิดจากแนวคิดร่วมกันของวัดพระธาตุหริภุญชัยและเทศบาลฯ ที่ต้องการลดมลภาวะจากการปล่อยโคมลอย เลยเปลี่ยนมาสร้างจุดขายใหม่ด้วยการแขวนโคมแทน ซึ่งนอกจากจะสร้างภาพจำให้เมืองแล้ว ยังช่วยส่งเสริมอาชีพให้คนในชุมชนได้มีรายได้จากการทำโคมอีกด้วย
สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือ หาวิธีให้คนรุ่นใหม่เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ถ้าทำได้ เมืองลำพูนก็จะกลับมามีพลังจากคนรุ่นใหม่ที่ช่วยขับเคลื่อนเมืองอีกครั้ง
ถามว่า ‘เมืองลำพูน น่าอยู่ตรงไหน?’ เราคิดว่าคำตอบอยู่ที่คนลำพูนเอง เพราะพวกเขาไม่เคยหยุดแอ็กทิฟ และพร้อมมีส่วนร่วมเพื่อเมืองของตัวเองเสมอ”
#เทศบาลเมืองลำพูน #มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ #CIAP #บพท