“เชียงรายเผชิญปัญหาหมอกควัน
จากการเผาเศษวัสดุพืชเชิงเดี่ยวมานาน
เราจึงใช้สมุนไพรเป็นทางเลือกใหม่
ให้เกษตรกรค่อย ๆ เปลี่ยนผ่านสู่การปลูกพืชสมุนไพรคุณภาพสูงแทน”
อาจดูเหมือนเป็นความบังเอิญ แต่ในปี 2562 ปีเดียวกับที่เทศบาลนครเชียงรายได้รับเลือกให้เป็น “เมืองแห่งการเรียนรู้” เมืองแรกของประเทศไทยในเครือข่าย UNESCO Global Network of Learning Citiesมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงก็ได้จัดตั้ง “ศูนย์นวัตกรรมสมุนไพรครบวงจร” (Medicinal Plant Innovation Center of Mae Fah Luang University) แห่งแรกของประเทศขึ้นในจังหวัดเชียงรายเช่นกัน
ศูนย์ฯ แห่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นลอย ๆ หากยังเชื่อมโยงกับทิศทางการพัฒนาจังหวัดตาม แผนแม่บทพัฒนาสมุนไพรไทย ปี 2559 ซึ่งกำหนดให้เชียงรายเป็น 1 ใน 4 เมืองสมุนไพรนำร่อง ร่วมกับสกลนคร ปราจีนบุรี และสุราษฎร์ธานี และยังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบาย “เมืองอาหารปลอดภัย” และ “เมืองสีเขียว” (Green City) ของเทศบาลนครเชียงรายในปัจจุบัน
ด้วยเหตุนี้ เทศบาลนครเชียงรายจึงได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงและ บพท. ขับเคลื่อนโครงการวิจัย “เมืองนวัตกรรมเกษตรกรรม” เพื่อพัฒนา “ศูนย์เรียนรู้เกษตรปลอดภัย” ของเทศบาลฯ ให้เป็นพื้นที่ส่งเสริมองค์ความรู้ด้านนวัตกรรมการเกษตรอย่างรอบด้านสำหรับประชาชน
แม้หลายคนอาจเข้าใจว่าการเรียนรู้นวัตกรรมการเกษตรเป็นรากฐานสำคัญของการผลิตอาหารปลอดภัย แต่คำถามสำคัญคือ สิ่งนี้จะนำพาเชียงรายไปสู่การเป็น “เมืองสีเขียว” หรือกระทั่ง “เมืองสุขภาพ” (Wellness City) ที่เป็นแผนระดับจังหวัด รวมไปถึงการรับมือกับความท้าทายสำคัญที่เมืองยังต้องเผชิญอยู่อย่างปัญหาหมอกควันและภัยพิบัติทางธรรมชาติได้อย่างไร
WeCitizens ชวนสนทนากับ รศ. ดร.ระวิวรรณ์ เจริญทรัพย์ หัวหน้าศูนย์นวัตกรรมสมุนไพรครบวงจร มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และหัวหน้าโครงการวิจัยเมืองนวัตกรรมเกษตรกรรม เพื่อค้นหาคำตอบและเป้าหมายเบื้องหลังการพัฒนาเชียงรายสู่เมืองสุขภาวะอย่างยั่งยืน ทั้งสำหรับผู้คน และสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน
ก่อนอื่น อยากให้อาจารย์แนะนำศูนย์นวัตกรรมสมุนไพรครบวงจร มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงก่อน ในฐานะสารตั้งต้นของโครงการวิจัยนี้
จริง ๆ แล้วสารตั้งต้นของงานวิจัยนี้คือการที่เชียงรายเป็นเมืองเกษตรกรรม และแผนการขับเคลื่อน “เมืองอาหารปลอดภัย” ของเทศบาลนครเชียงรายมากกว่าค่ะ ศูนย์ฯ ของเราเป็นหน่วยงานที่มาช่วยหนุนเสริมให้แผนงานของเทศบาลฯ มากกว่า เนื่องจากศูนย์ฯ ของเราทำงานวิจัยและพัฒนาสมุนไพรเป็นหลัก ทางเทศบาลฯ จึงมองเห็นศักยภาพในการทำงานร่วมกัน
ถ้าเล่าคร่าว ๆ คือศูนย์ฯ ของเราทำการวิจัยและพัฒนาสมุนไพรมาตั้งแต่ปี 2562 โดยศึกษาตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เรามีตั้งแต่โรงปลูกสมุนไพร โรงแปรรูป โรงสกัดสารจากวัตถุดิบ ไปจนถึงแล็บวิจัยด้านฤทธิ์ทางเภสัชกรรม และโรงงานผลิตยาที่ได้มาตรฐาน GMP PIC/S รวมไปถึงช่องทางในการจัดจำหน่าย และเผยแพร่เทคโนโลยีให้แก่เครือข่ายเกษตรกร
ไม่ได้ทำแค่งานวิจัยสมุนไพร แต่ยังมองถึงการส่งเสริมเศรษฐกิจไปพร้อมกัน
นี่คือหนึ่งในเป้าหมายหลักเลย ถ้ามองในระดับเมือง มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงเรามีหลักสูตรแพทย์แผนไทยประยุกต์และแพทย์แผนจีนที่ทำหน้าที่ผลิตบุคลากรอยู่แล้ว ขณะที่ศูนย์ฯ แห่งนี้ก็ยังทำงานร่วมกับโรงพยาบาลต่าง ๆ เพื่อเชื่อมโยงการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรให้ใช้ได้จริงทั้งในเชิงสุขภาพและเศรษฐกิจ
ในขณะเดียวกัน อย่างที่ทราบกันว่าเชียงรายเผชิญปัญหาหมอกควันจากภาคการเกษตรมายาวนาน ส่วนหนึ่งมาจากการเผาเศษวัสดุเหลือใช้จากพืชเชิงเดี่ยว เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ หรือมันสำปะหลัง เราจึงใช้สมุนไพรเป็นทางเลือกใหม่ที่จับต้องได้ ให้เกษตรกรค่อย ๆ เปลี่ยนผ่านการผลิตสู่พืชสมุนไพรคุณภาพสูงโดยศูนย์ของเราก็มีแล็บที่ช่วยคัดสรรสายพันธ์ุ เพาะเนื้อเยื่อ รวมไปถึงผลิตเป็นยาที่ได้มาตรฐาน Thai Herbal Pharmacopoeia หรือ THP (ตำรามาตรฐานยาสมุนไพรไทย-ผู้เรียบเรียง) และมีตลาดที่รับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรในราคาที่สูงขึ้น พร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีการผลิตที่ได้มาตรฐาน
จากศูนย์นวัตกรรมฯ ของมหาวิทยาลัย แล้วเป็นมาอย่างไร ถึงได้ร่วมกับเทศบาลนครเชียงราย ในการพัฒนาศูนย์นวัตกรรมระดับเมืองได้ครับ
จริง ๆ แล้วเทศบาลนครเชียงรายได้รับการรับรองจากยูเนสโกให้เป็นเมืองแห่งการเรียนรู้มาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งทางเทศบาลฯ เองก็อยากต่อยอดให้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยใช้จุดแข็งที่มีอยู่ คือ เครือข่ายโรงเรียนในสังกัด 8 แห่ง มีกลุ่มเยาวชนในเขตเทศบาลฯ รวมถึงโรงเรียนผู้สูงอายุ
สิ่งที่เทศบาลฯ อยากผลักดัน คือ การเป็นเมืองต้นแบบด้านการเรียนรู้ ที่ตอบโจทย์พื้นที่จริง และเมื่อมองหาเรื่องเด่นของเชียงราย ก็พบว่า “สมุนไพรและเกษตรกรรม” คือจุดแข็งของเมือง
เราจึงเริ่มต้นวิจัยแนวทางการจัดตั้ง “ศูนย์การเรียนรู้นวัตกรรมเกษตร” เพื่อใช้เป็นพื้นที่ต้นแบบ แม้จะไม่ได้จำกัดแค่สมุนไพร แต่ที่เริ่มจากสมุนไพรเพราะเป็นสิ่งที่เรามีความรู้ ความพร้อมและมีดีมานด์รองรับจริงในตลาด เราเอาความต้องการจริงมาเป็นตัวตั้ง เพื่อให้สิ่งที่เรียนรู้ต่อยอดเป็นอาชีพและรายได้ในอนาคตได้จริง
อย่างที่ทราบคือเทศบาลฯ กำหนดให้ศูนย์เรียนรู้อาหารปลอดภัยที่ตั้งอยู่ภายในสวนสาธารณะหาดเชียงรายเป็นที่ตั้งของศูนย์นวัตกรรมฯ นี้ อยากให้เล่าถึงกระบวนการยกระดับที่เชื่อมโยงไปกับการพัฒนาเมืองหน่อยครับ
เราเริ่มจากการรับฟังความเห็นประชาชน ผ่าน City Scan และได้ข้อมูลบางส่วนจากการพูดคุย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการสะท้อนปัญหาในชีวิตประจำวัน รวมถึงความคาดหวังต่ออนาคตของลูกหลาน จากนั้นเราต่อยอดด้วยการจัด Focus Group : Green City ในงาน Green City Conference ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ AIPH Meeting ของสมาคมพืชสวนระหว่างประเทศ โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 150 คนจาก 50 ประเทศ
เรานำข้อมูลจาก City Scan มาถอดโจทย์ต่อว่า ถ้าเชียงรายจะเป็น Green City ต้องทำอะไรบ้าง ซึ่งสรุปออกมา 3 ประเด็นหลัก คือการออกแบบเมือง เกษตรกรรม และสุขภาวะ วันนั้นเราได้เชิญผู้เชี่ยวชาญระดับประเทศมาร่วม เช่น สถาปนิกใหญ่ กรมโยธาธิการฯ เทศบาล รองผู้ว่าฯ ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่า เป้าหมายสูงสุดของเชียงราย คือเป็น Wellness City แต่จะไปถึงจุดนั้นได้ ต้องเริ่มจากการเป็นเมืองสีเขียว Green City ก่อน ศูนย์ฯ แห่งนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้น ในการสร้างความรู้ความเข้าใจให้คนในพื้นที่ ตั้งแต่ผู้นำ ชุมชน เยาวชน ไปจนถึงผู้สูงอายุ ทุกคนต้องรู้ว่า ตัวเองมีส่วนร่วมอย่างไรในการพัฒนาเมือง
จริง ๆ เราเริ่มขยับกันมาตั้งแต่ปีที่แล้ว มีการลงนามความร่วมมือ 13 ภาคี ทั้งเทศบาล อบจ. และสถาบันการศึกษาหลัก ๆ รวมถึงมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ทุกฝ่ายมีเป้าหมายเดียวกัน คือ พัฒนาเชียงรายสู่ Wellness City ซึ่งวันนี้เราก็เดินหน้ากันอย่างเป็นระบบ

พัฒนา Wellness City โดยใช้นวัตกรรมเกษตรกรรมเป็นรากฐาน
ใช่ค่ะ พอพูดถึงเทศบาลนครเชียงรายที่เป็นชุมชนเมือง เราอาจไม่ได้มีพื้นที่ในการปลูกพืชผักมากนัก แต่บริเวณสวนสาธารณะหาดนครเชียงรายของเทศบาลฯ เรามีที่ดินรองรับถึง 12 ไร่ และเทศบาลฯ ก็ได้ริเริ่มทำศูนย์เรียนรู้เกษตรปลอดภัยเป็นแปลงสาธิตต้นแบบไว้แล้ว เราก็มาต่อยอดตรงนี้ โดยเสริมเนื้อหาของหลักสูตรไม่ใช่แค่กระบวนการปลูก แต่รวมถึงการตรวจสอบคุณภาพผลผลิต แนวทางการแปรรูป ไปจนถึงการประเมินราคา และการเชื่อมโยงกับสถานที่จัดจำหน่าย รวมไปถึงการส่งต่อความรู้
มีแผนในการส่งต่อหรือเผยแพร่องค์ความรู้จากศูนย์ฯ นี้อย่างไรครับ
เราร่วมมือกับกองยุทธศาสตร์ฯ ของเทศบาลฯ ในการบรรจุให้เป็นกิจกรรมของโรงเรียนในสังกัดเทศบาลทั้ง 8 แห่ง เพื่อให้เด็กนักเรียนเข้ามาเรียนรู้ ขณะเดียวกัน เทศบาลฯ ก็มีศูนย์การเรียนรู้ผู้สูงวัย รวมถึงเครือข่ายชุมชนและผู้ประกอบการ ซึ่งก็เป็นกลุ่มเป้าหมายของศูนย์ฯ แห่งนี้
เบื้องต้น ทีมนักวิจัยของเราจะดูแลเรื่องวิชาการ จัดทำข้อมูล วิเคราะห์สาระสำคัญจากผลผลิต และออกแบบหลักสูตรการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับบริบทของผู้เรียน ตั้งแต่เด็กและเยาวชนไปจนถึงผู้สูงวัย เพื่อให้ได้มาซึ่งแพลตฟอร์มที่เทศบาลฯ พร้อมจะนำไปเผยแพร่ต่อค่ะ ซึ่งแน่นอน นี่เป็นโครงการที่ต้องทำต่อเนื่อง ไม่สามารถจบได้ในปีเดียว โดยตอนนี้เราอยู่ในระหว่างการพัฒนาหลักสูตร โดยเทศบาลฯ ก็มีหน้าที่ในการจัดหาพื้นที่ให้คนมาเรียนรู้ รวมถึงแพลตฟอร์มเรียนรู้ออนไลน์พร้อมกันไป
อาจารย์คิดว่าควรต้องมีกลไกอะไรเพิ่มเติม เพื่อให้มีความต่อเนื่องอีกไหมครับ
เทศบาลฯ จำเป็นต้องมีทีมหลักที่มาขับเคลื่อนในการเผยแพร่ความรู้ โดยอาจเป็นการรวมกันของเจ้าหน้าที่ฝั่งเกษตรและการศึกษา ที่มีความเข้าใจเนื้องานอย่างแท้จริง เพื่อจะได้ขับเคลื่อนโครงการให้เกิดเป็นรูปธรรม คือศูนย์ฯ นี้ต้องมีทั้งนักวิชาการ นักสื่อสารความรู้ และกลุ่มนักจัดกิจกรรม เรามองว่าบุคลากรเหล่านี้สำคัญไม่น้อยไปกว่าหลักสูตรในศูนย์ฯ อีก
“เมืองน่าอยู่สำหรับเรา ไม่ใช่แค่
ผู้คนมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสุขภาพดีเท่านั้น
แต่ต้องครอบคลุมถึงสิ่งแวดล้อมด้วย”
โครงการนี้ดูเหมือนจะเน้นหนักไปที่กรอบของเมืองแห่งการเรียนรู้ที่เป็นเป้าหมายหลักของเทศบาลฯ แต่ถ้ามองในกรอบของการเป็นเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด อาจารย์มองว่าโครงการจะช่วยหนุนเสริมในเรื่องนี้อย่างไร
เราคิดว่าเบื้องต้นคือ โครงการนี้เป็นจุดเริ่มต้นในการส่งเสริมด้านเศรษฐกิจไปพร้อมกับการทำให้ผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งมันคือปัจจัยพื้นฐานของการเป็นเมืองน่าอยู่
อย่างไรก็ดี เมืองน่าอยู่สำหรับเรา ไม่ใช่แค่คนมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสุขภาพดีเท่านั้น แต่ต้องครอบคลุมถึงสิ่งแวดล้อมด้วย เชียงรายเองมีต้นทุนสิ่งแวดล้อมที่ดี แต่ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างหนึ่งที่ต้องจัดการอย่างเร่งด่วน คือปัญหาหมอกควัน จากการเผาเศษวัสดุทางการเกษตรและการเผาป่า การแก้ปัญหานี้ไม่ใช่แค่เรื่องความรู้ทางวิชาการ หรือแค่การส่งเสริมให้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการทำการเกษตร แต่หลักใหญ่ใจความ เราจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือทางการเมืองทั้งในและข้ามพรมแดนในการแก้ปัญหา
ในส่วนของ Smart City โครงการนี้ก็มีส่วนส่งเสริมด้วย แต่ก็ต้องทำควบคู่กับเครื่องมือและแนวทางแก้ปัญหาอื่น ๆ อีกหลากหลาย อย่างประเด็นเร่งด่วนที่สุดที่ควรทำทันทีคือการจัดการน้ำและภัยพิบัติ ปัญหาน้ำท่วมเกิดซ้ำซากทุกปี แต่ประชาชนยังไม่มีระบบแจ้งเตือนที่มีประสิทธิภาพ หลายครั้งต้องพึ่งพาแค่เพจหรือการไลฟ์ ทั้งที่จริงควรมีระบบเตือนภัยที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ เหมือนที่ต่างประเทศทำได้
สำหรับเราเชียงรายไม่จำเป็นต้องเป็น Smart City แบบหรูหรา แต่ควรเป็นระบบที่ช่วยให้ประชาชนรู้เท่าทันภัยพิบัติอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม หรือดินโคลนถล่ม ที่กำลังเป็นความเสี่ยงของเมือง
ซึ่งนั่นล่ะค่ะ งานวิจัยนี้ช่วยบรรเทาปัญหา หรือหาทางออกให้กับเมืองได้ในระดับหนึ่ง แต่การจะทำให้เชียงรายเป็นเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด ต้องอาศัยกลไกที่มากกว่านั้น และทุกฝ่ายต้องหันมาทำงานร่วมกันอย่างจริงจัง”

#เทศบาลนครเชียงราย #มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง #หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาพื้นที่ #บพท #โปรแกรมบ่มเพาะและเร่งรัดกระบวนการเพื่อมุ่งสู่การเป็นเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด #CIAP #wecitzens