CITY ON THE MOVE : ปลดล็อคศักยภาพท้องถิ่นใหม่ กับ 4 ยุทธศาสตร์การพัฒนาเมือง
รศ.ดร.ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม รองผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาพื้นที่ (บพท.)

Start
11 views
35 mins read

การบรรยายในหัวข้อ “ภาพรวมการขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาเมืองน่าอยู่และการกระจายศูนย์กลางความเจริญของหน่วย บพท.” โดย รศ.ดร.ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม รองผู้อำนวยการฝ่ายแผนและยุทธศาสตร์องค์กร หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ในงาน City Solution Days: เปิดเมือง เปลี่ยนเมือง สู่อนาคตเมืองน่าอยู่ วันที่ 27 กันยายน 2568 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว กรุงเทพฯ

“สําหรับวัตถุประสงค์วันนี้งาน City Solution Day เป็นโอกาสให้คนที่ทํางานจริง ๆ ได้มาเจอกันปีละครั้งสองครั้ง วันนี้ เป็นวันที่คณะทํางานที่มาจากหลายภาคส่วน ตั้งแต่นายกเทศมนตรี ฝ่ายผู้บริหาร และนโยบาย นักวิจัย ภาคประชาคม เอกชนต่างๆ มีโอกาสได้มาคุยกัน มาเจอกัน แล้วได้แลกเปลี่ยนกัน

หากพูดถึง ‘สถาบันพัฒนาเมือง’ เราพบว่าในกระบวนการพัฒนาเมือง มีการริเริ่มสิ่งนี้มานานแล้ว ทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางกลาง หัวใจสําคัญของสถาบันพัฒนาเมืองคือถูกออกแบบมาไว้เพื่อที่จะทําในสิ่งหนึ่ง ที่ค่อนข้างสําคัญมาก เป็นการนำเอาชุดความรู้ที่กระจัดกระจายมารวมเข้าวางไว้ตรงนี้ ให้ง่ายต่อการเข้าถึง ไม่กระจายตามมหาลัยต่าง ๆ จนยากที่จะติดตาม และต้อง Priceless เป็น One stop service เพื่อที่ทุกคนที่ต้องการแก้ไขปัญหาเมือง ไม่ว่าจะเป็น นายกฯ หรือคนทั่วไปที่สนใจเรื่องเมือง พอมีปัญหาก็มาหาข้อมูล มาค้นคว้า และคุยกันได้

อย่างที่ผมบอกไปว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่ แต่ว่ามีหลายประเทศที่เขาได้พัฒนาสิ่งนี้มาแล้ว เพื่อให้เกิดกระบวนการนําเอาชุดความรู้ ที่แต่ละคนได้ลองผิดลองถูก ได้ทําวิจัย เอามารวบรวมกันให้เป็นหลักเป็นการ ทําให้สถาบันทําหน้าที่ที่จะเป็นศูนย์ความรู้ ในการแลกเปลี่ยนความรู้ ที่ได้มาจากคนทำงาน ได้มาจากตัว Stakeholder ถ้ามองเข้ามาในการทำงานของเรา ก็คือกลุ่มนายกฯ ที่บางครั้งก็เกษียณไปแล้ว หรือว่านายกที่กำลังทำงานอยู่แต่มีความรู้ แล้วก็รักบ้านรักเมืองมาก แล้วนำมหาวิทยาลัยที่เคยทํางานมาได้มาเจอกัน มีการจัดระเบียบถือว่าเป็นอันหนึ่งที่สําคัญของกระทรวง 

เพราะว่าสิ่งหนึ่งที่ประเทศจําเป็นต้องมีคือ  Knowledge Fund Structure เริ่มต้นตั้งแต่รัฐมนตรี ในอดีตที่ผ่านมา เรามีองค์กรหนึ่งที่เรียกว่า ธัชภูมิ มี หน้าที่ที่จะเอาความรู้ที่ได้เหมือนกับการวิจัย กรอบเป็นสถาบันต่าง ๆ บางคนเชี่ยวชาญเรื่อง ท้องถิ่น บางแห่งเชี่ยวชาญเรื่องเมือง เชี่ยวชาญเรื่องจัดความยากจน หรือเชี่ยวชาญเรื่องสถิติ ฐานราก ส่วนบทบาทของ อว. คือทําให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Knowledge Services ที่สามารถให้บริการ ต่าง ๆ ได้ ทุกคนเข้ามาได้ 

ข้อค้นพบสำคัญจากการทำงานที่ผ่านมา เราพบว่าบ้านเราไม่ได้ติดขัดเรื่องเทคโนโลยี เราสามารถเข้าถึงได้ งบประมาณ หรือทุนเราก็พอมีบ้าง แม้จะกระจัดกระจาย และมาร่วมกันทำงานไม่ง่ายอยู่ แต่สิ่งที่ขาดไปจริง ๆ ในระบบทั้งหมดเป็นเรื่องของโจทย์ที่คาใจอยู่ คือ ประสิทธิภาพของการลงทุน ซึ่งประกอบด้วยภาครัฐ และภาคเอกชน วันนี้ประสิทธิภาพของประเทศไทยถูกตั้งคําถาม ว่า ทําได้ดีกว่านี้ไหม

เราพบว่าจริงๆ เราสามารถทําได้ดีกว่านี้อีกเยอะมาก วันนี้ท้องถิ่นแต่ละที่ทําในมุมมองของท้องถิ่น แต่ว่าเรื่องของการพัฒนาเมืองจริงๆ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ อปท.เพียงที่เดียว เมืองมีองค์ประกอบของภาคเอกชน ภาคประชาชน มีหลายๆ คนที่เข้ามา เพราะฉะนั้นเวลาเมืองจะเติบโต หรือจะถดถอยนั้นเกิดขึ้นทั้งองคาพยพ โจทย์ที่สําคัญมาก ๆ คือยกระดับประสิทธิภาพการลงทุนของเมือง เรื่องนี้คือโจทย์หลัก 

จากการทำงานเราพบว่ามีอยู่ 3 Gaps ด้วยกันที่ในหน้างาน ติดขัด อันดับแรกคือในเมืองมีงานอยู่ 2 โจทย์ 

1.คือการลงทุนของภาคเอกชนก็ทําหน้าที่ของเขา จะทำอย่างไรให้เกิดการร่วมคิดถึงการพัฒนาเมืองควบคู่ไปกับการลงทุนของภาครัฐที่มีผลต่อเมืองโครงการลักษณะนี้เราพบว่า ประสิทธิภาพของโครงการบางครั้งไม่ดีพอ หรือน่าจะทำได้ดีกว่านี้ บางครั้งไอเดียโครงการนั้นดีมาก แต่ก็อยู่ในระดับความฝัน การพัฒนาโครงการออกมาเป็นรูปเป็นร่าง เพื่อทําให้ภาษีที่ เราเอาไปใช้ โครงการลักษณะนี้ยังไม่คมพอ อันนี้ความรู้เข้าไปช่วยได้

2.ที่เราพบมาคือหลายเมืองถ้ามีการเก็บภาษีได้ดีก็พอไปได้ แต่บ้านเราหลาย เมืองตอนนี้อยู่ในภาวะที่มีเงิน Operation อาจจะไม่พอ ภายในอีก 5 ปี ข้างหน้าการถดถอย ของเมืองจะเริ่มเห็นนัยยะสําคัญ  เพราะว่ามีปัญหาเรื่องประชากรก็ดี เศรษฐกิจก็ดี ถ้าเราไม่ได้ปรับปรุงให้เกิดกระบวนการทำงานที่เหมาะสม คือ โครงสร้าง เศรษฐกิจ หรือรายรับของเมือง ภาพรวมทั้งหมดก็จะอยู่ในภาวะถดถอย 

จริง ๆ เป็นคําถามที่ส่วนกลางอาจจะไม่มีพลังเพียงพอที่จะเอ็กซเรย์ได้ ดังนั้นการนําเอาชุดความรู้ตรงนี้ลงไปที่ท้องถิ่น ให้ท้องถิ่นมั่นใจว่าท้องถิ่นทําได้ คนท้องถิ่นไม่ได้ด้อยจากส่วนกลางในเรื่องความสามารถ จริง ๆ เค้าทํากันได้ วันนี้ผมขอยืนยัน อีกเสียงว่าเขาทําได้ แต่เราต้องเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน

ดังนั้นโจทย์ที่ 2 คือการเข้าถึงศักยภาพหรือทุนในการลงทุน พบว่าวันนี้เราใช้ทุนของภาษีอย่างเดียว มันมีโอกาสในการลงทุนเยอะแยะ มากมายเลย เงินในต่างประเทศ เงินภาคเอกชน สามารถทําได้ แต่เรายังทำกันไม่เป็น เรายังติดยึด กับระบบเศรษฐกิจบนความเมตตาที่ต้องไปอะไรเยอะแยะมากมาย 

ส่วนที่สามคือ พอเราลงทุนได้กับโครงการที่ดี แต่ลงทุนได้แค่ตอน Operate ตอนหน้างานเจอปัญหาเยอะมากเลย คนคิดไม่ได้ทํา คนทําไม่ได้คิด มันก็วุ่นวาย และการร่วมมือ ในการทําจริง ๆ กลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราขาดไป คือ Operator จะเอาท้องถิ่น Operate อย่างเดียวก็ไม่ไหว ภาคราชการ Operate มีข้อจํากัดส่วนหนึ่ง ภาคเอกชน Operate ก็เอื้อเอกชน เพราะฉะนั้นก็ต้องหา Body ที่ Operate แต่ละโครง การที่สําคัญกับเมืองให้ได้ยกตัวอย่างเช่น ขนส่งสาธารณะการจัดการเยอะแยะมากมาย มีปัญหามหาศาลรออยู่ ดังนั้นผมคิดว่าวันนี้มันค่อนข้างชัดมากแล้วครับ ในงานปีต่อไป หรืองานลักษณะต่อไปที่เราจะผลักดันจะให้เกิดขึ้นได้ วันนี้เราไม่ได้มีเทคโนโลยีหลัก เราพบว่าเรามีการจัดสรรมาอย่างดี ต้องทดลองทํา วันนี้สิ่งที่จะต้องเกิดให้ได้ ก็คือทดสอบการลงทุนให้ได้ 

วันนี้เราพบว่าเมืองจะเติบโตได้อาจจะมีหลายวิธี แต่อย่างน้อย มี 4ยุทธศาสตร์ กับเมืองที่ไม่ใช่กรุงเทพ ฯ เป็นเมืองที่มีศักยภาพ และคุ้มค่า ควรจะต้องทําอันดับแรก

4 ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย

  1. กลุ่มเศรษฐกิจ Green Transformation (Green City) เช่น Zero City และเทรนด์เมืองสีเขียว
  2. กลุ่มงานวัฒนธรรม (Brown City) ในทุก ๆเมืองมีศักยภาพเรื่องนี้อยู่แล้วซึ่งเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว และ Soft powerซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับนักลงทุนทั้งเอกชนและภาครัฐ
  3. กลุ่มงาน Wellness หรือ Longevity Economy หรือเราเรียกว่า Silver Economy (Silver City) คือทุกเมืองจะเข้าสู่ภาวะเมืองผู้สูงอายุเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นกระบวนการต่าง ๆ ต้องออกแบบไว้ล่วงหน้า ไม่ใช่ รอแบบถึงเวลาแล้วค่อยทำซึ่งทุกอย่างจะไม่ทันการณ์
  4. กลุ่ม Digital Economy (Yellow City) เมืองเศรษฐกิจดิจิทัล Quick Win สำหรับเมืองรูปแบบนี้ คือ เมืองที่มีมหาวิทยาลัยแล้วมีคนรุ่นใหม่ที่สนใจและทำงานด้านดิจิทัล ที่เห็นกันอยู่แล้วมีหลายเมือง เช่น  เชียงใหม่ เขาใหญ่ เป็นต้น หลายเมืองก็สามารถทําได้ เพียงแต่ต้องจัดเงื่อนไขระบบระเบียบทำให้เมืองน่าอยู่ และมีค่าครองชีพต่ำ 

         ดังนั้นบทบาทของนายก และทีมผู้บริหารท้องถิ่นรุ่นใหม่ จึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่การทําถนน ทางเท้า ไฟฟ้า วันนี้เรามายืนยันว่า บทบาทของนายก ผู้นำเมืองที่เราเลือกกลับเข้าไปทำงานให้เรา โดยสิทธิ์ของเราผ่านการเลือกตั้ง โดยเฉพาะนายกทุกคนที่มีโอกาสได้ทํางานกับเรา เขายืนยันว่าสิทธิ์เขาต้องการจะทําและ อยากจะทํา แล้วต้องทําด้วย ก็คือเขากําลังคิดเรื่องของแผนพัฒนาเศรษฐกิจระดับเมืองให้ได้  เพราะเศรษฐกิจของเมืองเขาจะโต ไม่ใช่ดูแค่สารณูปโภคอย่างเดียวแต่หมายรวมไปถึงการลงทุน และการขับเคลื่อนเมืองตามศักยภาพและยุทธศาสตร์ที่เหมาะสม

เพราะเราเชื่อมั่นว่าท้องถิ่นปัจจุบันสามารถจะจัดการตัวเองได้ กลไกรัฐบาลแบบแนวตั้ง Vertical Governance มีข้อจํากัดสูง วันนี้ที่เราต้องช่วยกันทำความร่วมมือในแนวนอนอย่างการรวมพลังของธุรกิจต่าง ๆ ของคนทํางานต่าง ๆ เราพบว่าจากหน้างานที่เราเห็นยังไม่ขัดสน เรามีศักยภาพเพียงแต่ว่าเรายังต้องช่วยกันจัดการตรงนี้


ดังนั้นงานในซีรีส์นี้ผมคิดว่ามีอยู่ 3 จุดหมุดหมายสำคัญ

1.คือปลดล็อคการลงทุน 
2.เข้าสู่ตลาดใหม่ในระบบโลก 
3.เข้ามาทําให้มาตรฐานของการบริการเข้าถึง standard ให้ได้

         วันนี้งานวิจัยที่เราทำร่วมกันชี้ลงไปชัดเจนแล้วว่าเมืองไหน การทำงานกับเป้าหมายเป็นเป็นยังไง อะไรคือ Standard งานวิจัยได้ทำหน้าที่แล้ว คือเข้ามามีส่วนในการคลี่คลายโจทย์การพัฒนาท้องถิ่นจากประชาชนโดยประชาชนให้มันชัดมากขึ้น  

การพัฒนาโดยคนในท้องถิ่นจัดการตัวเองตอบโจทย์ที่สุด คือ การพัฒนาโดยการใช้ ความรู้ที่เกิดขึ้นจากสภาพจริงอยู่ในพื้นที่ แล้วการพัฒนาโดยที่ใช้เรื่องของประสิทธิภาพ และ ประสิทธิผลอย่างต่อเนื่อง แต่มันไม่มีมีอะไรเพอร์เฟค แต่ยังมีอีกหลายอย่างหลายโอกาสที่เรายังไม่ได้เข้าไปรับรู้ ทำงาน และเชื่อมโยงกัน  ดังนั้นผมยืนยันว่าท้องถิ่น
คนเดียว โดยที่ไม่มีส่วนร่วมจากภาคประชาชนคนในพื้นที่เอาไม่อยู่ และมันไม่ใช่หน้าที่ของเขา แต่เพียงถ่ายเดียว เขาเป็นตัวแทนเรา แล้วเขามีหน้าที่เอาไปพูด และทำต่อแบบยังเป็นเพื่อนกันกับเราและมีเครือข่ายภาคีที่ร่วมมือกัน

วันนี้ถ้าเราทําสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ เมืองก็จะสูญเสียแล้วโอกาส เมืองที่น่าอยู่คือเมืองที่มี โอกาสสูง ความจริงที่เราไม่ชอบใจคือ บางครั้งพวกเราไม่ได้อยากย้ายมากรุงเทพ แต่กรุงเทพฯ นั้นมีโอกาสมากกว่า มีงาน  น้องๆ หลายคนก็อยากอยู่ที่บ้าน แต่ไม่มีงาน ดังนั้นบทบาทที่คนในท้องถิ่นโดยเฉพาะนายก กับทีมบริหารที่เราเลือกเข้าไป จะต้องมานั่งคิดกันแล้วว่าจะเอายังไง จะไปปล่อยให้เลือกตั้งนายกแล้วก็จบ ไม่ได้ต้องมาช่วยกันทํางานแบบนั้นไม่ได้ 

ในความเป็นจริง งานพัฒนาเมืองมีส่วนช่วยรัฐบาลอย่างมาก เพียงแต่ว่าถ้ามันสามารถรับประกันได้ว่าเศรษฐกิจใหม่จะเกิดขึ้นอยู่ที่พื้นที่ได้ ก็จะมีความชัดเจนยิ่งขึ้น ถ้าพวกเราไม่รวมพลังกัน ปล่อยให้ท้องถิ่นพยายามของเขาไปแบบนั้น เมืองก็จะเติบโตไปแบบที่เราอยากเห็นไม่ได้เลย หรืออาจจะเดินช้าไม่ทันการณ์
         แต่ถ้าเรารวมพลังกัน การพัฒนาเมืองร่วมกับท้องถิ่นก็จะเป็นโอกาสใหม่ เพราะฉะนั้น ทิศทางที่เราอยากเห็น นั้นคือ Empowerment การให้โอกาสได้ลงมือทำ และถกเถียง เช่น การมี Sand Box ที่ทำงานกันจริง ๆ ที่ผ่าน ๆ มาทุกคนกลัวหมด ไม่มีราชการคนไหนที่ไม่กลัว เพราะว่าพอจะทำก็กลัวปัญหาแล้ว ยิ่งเอากฎหมายเข้าไปดูก็ติดล็อค ซึ่งก็ไม่ได้ผิด เพียงแต่ว่ามันต้องเกิดพื้นที่ที่เราสามารถมา Test ร่วมกันได้

ดังนั้น การทํา Sand Box เชิงนโยบาย แล้วดันให้เกิดการทดลองทำในแต่ละก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ท้องถิ่น คนในพื้นที่ และรัฐส่วนกลางสามารถเข้ามาร่วมมือกันทำได้ เพราะฉะนั้นพอถึงเวลาจุดหนึ่งผมคิดว่าไม่แน่ ถ้าเกิดมีรุ่นต่อไป สิ่งหนึ่งที่ต้อง ถกเถียงกันให้ชัดเจนมาก คือการที่จะ Decentralized โอกาสต่างๆ อย่างสมดุล เพื่อกระจายศูนย์กลางของโอกาส และความเจริญออกไป ถ้าเราปลดล็อคตรงนี้ได้เมืองจะเติบโตได้อย่างที่เราฝันถึง และมีความสมดุลในการพัฒนาเมืองไปพร้อมกัน ขอบคุณครับ” 

__

ติดตามการขับเคลื่อนงานวิจัยเพื่อการพัฒนาเมือง ได้ที่ งานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อพัฒนาพื้นที่ บพท.

#โปรแกรมการบ่มเพาะและเร่งรัดกระบวนการเพื่อมุ่งสู่เมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด#สมาคมเทศบาลนครและเมือง#มหาวิทยาลัยมหาสารคาม#pmua#ciap#wecitizens#thecityleaders