หัวหน้าโปรแกรมบ่มเพาะและเร่งรัดกระบวนการเพื่อมุ่งสู่การเป็นเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด (CIAP) และหัวหน้าคณะประสานโปรแกรมฯ ภาคอีสาน
“4 เมืองในอีสาน ต่างมุ่งไปที่เรื่องพัฒนาเศรษฐกิจ
เพราะผู้นำเมือง มองเห็นแล้วว่า
เมืองรองของอีสานวันนี้มีโอกาส และเติบโตได้จริง”
เมืองในภาคอีสาน
“โปรแกรมนี้ เรื่องสำคัญ คือ โจทย์วิจัยเพื่อการพัฒนาเมืองต้องมาจากตัวเทศบาลเป็นหลัก เราจะไม่เอานักวิจัยเป็นตัวตั้ง ตัวหลักต้องเป็นเทศบาล คำถามง่าย ๆ แต่สำคัญมาก ๆ คือ “เขาต้องการอะไร” “อะไรคือสิ่งที่เขาสนใจ” และ “เรากับวิธีวิจัยจะมีส่วนช่วยพัฒนาเมืองของเขาได้อย่างไร” พอตอบเรื่องพวกนี้ได้ เราค่อยหานักวิจัยที่เชี่ยวชาญ หรือมีศักยภาพเข้าไปประกบทำงานด้วย
เรื่องต่อมา คือ ก่อนจะเริ่มงาน หรือตัดสินใจว่าจะขึ้นโครงการแบบไหน ตั้งแต่ Day One ทีมโปรแกรม CIAP และบพท. เราช่วยกันคุยกับนายกฯ เครียร์ให้ชัดว่าโจทย์ที่อยากได้คืออะไรกันแน่ นายกฯ และเจ้าหน้าที่ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องต้องเข้าใจโจทย์นั้นจริง ๆ และลุยไปด้วยกัน ไม่เช่นนั้นความคาดหวังและเป้าหมายก็จะไม่สำเร็จ
ในพื้นที่ภาคอีสาน โปรแกรม ฯ เข้าไปมีส่วนขับเคลื่อนอยู่ทั้งหมด 4 เทศบาล ได้แก่ เทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ เทศบาลเมืองร้อยเอ็ด เทศบาลเมืองศรีสะเกษ และเทศบาลเมืองสกลนคร โดยภาพรวมแล้ว ทุกเมืองมุ่งไปที่การพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อสร้างเมืองของตนเองให้น่าอยู่ แต่ละที่อาจจะมีความหลากหลายในเรื่องกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่ ระดับปัจเจก ครัวเรือน ไปจนถึงโครงข่ายระดับเมือง โดยใช้เครื่องมือ หรือประเด็นที่ตนเองสนใจ เช่น กาฬสินธุ์ใช้เรื่องการจัดการขยะ เผิน ๆ ดูจะเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่จริง ๆ ก็พุ่งเป้าไปที่การสร้างรายได้ให้คนในชุมชนที่เกี่ยวข้อง และจัดการข้อมูลขยะจากต้นทางโดยใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยวางแผนอนาคต หรืออย่างเทศบาลเมืองสกลนครก็จะเป็นเรื่องการยกระดับ Smart Government เขาอยากเอาระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) เข้ามาใช้ซึ่งมันเป็นเรื่องใหญ่ แต่ภายในระหว่างสำนักและกองต่างๆ การเชื่อมโยงข้อมูลก็ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็น เราก็ไปเป็นตัวกลางชวนขยับเรื่องการใช้และเชื่อมข้อมูลเน้นจุดเล็กๆ และเชื่อมต่อประโยชน์กับการบริการประชาชนให้สำเร็จเห็นภาพก่อน ส่วนศรีสะเกษก็เป็นเรื่องการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ของคนเป็นแนว Life Long Learning เพื่อผลักดันสินค้าชุมชนสู่ตลาดออนไลน์ โดยใช้ทรัพยากร และ Function ของเทศบาลเป็นเจ้าภาพหลัก และเมืองที่กำลังบูม อย่างร้อยเอ็ด ก็เลือกมุ่งเป้าไปที่การเชื่อมโยงโครงข่ายเศรษฐกิจในพื้นที่ใจกลางเมือง ว่าจะมีส่วนเข้ามาช่วยเคลื่อนเมืองอย่างไร ให้เสริมแรงกันไปกับแผนพัฒนาที่เขาวางไว้กันเป็นสิบ ๆ ปี
จะเห็นได้ว่า 4 เมืองในอีสานที่ร่วมโปรแกรมฯ ต่างมุ่งไปที่เรื่องพัฒนาเศรษฐกิจ ด้วยเครื่องมือ และประเด็นที่หลากหลาย แต่ทั้งหมดมีที่มาร่วมกัน เพราะผู้นำเมือง และทุกฝ่ายมองเห็นแล้วว่า เมืองรองของอีสานวันนี้มีโอกาส และเติบโตได้ ถ้าทำได้และให้ทุกคนได้ประโยชน์ เราจึงบอกกับทุกคนตั้งแต่แรกว่า งานวิจัยต้องตอบคนในเมืองให้ได้ว่า เขาจะได้ประโยชน์อะไร และเมืองได้ประโยชน์อะไร สิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญ
“เมืองอาหารปลอดภัยไม่ได้ให้ประโยชน์แค่เฉพาะผู้คนในเขตเทศบาลฯแต่มันสามารถเป็นต้นแบบให้เมืองอื่น ๆ ที่อยากส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้คนได้เช่นกัน” “งานประชุมนานาชาติของสมาคมพืชสวนโลก (AIPH Spring Meeting Green City Conference 2025) ที่เชียงรายเป็นเจ้าภาพเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา เน้นย้ำถึงทิศทางการพัฒนาเมืองสีเขียว…
“ทั้งพื้นที่การเรียนรู้ นโยบายเมืองอาหารปลอดภัย และโรงเรียนสำหรับผู้สูงวัยคือสารตั้งต้นที่จะทำให้เชียงรายเป็นเมืองแห่งสุขภาพ (Wellness City)” “กล่าวอย่างรวบรัด ภารกิจของกองการแพทย์ เทศบาลนครเชียงราย คือการทำให้ประชาชนไม่เจ็บป่วย หรือถ้าป่วยแล้วก็ต้องมีกระบวนการรักษาที่เหมาะสม ครบวงจร ที่นี่เราจึงมีครบทั้งงานส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค การรักษาเมื่อเจ็บป่วย และระบบดูแลต่อเนื่องถึงบ้าน…
“การจะพัฒนาเมือง ไม่ใช่แค่เรื่องสาธารณูปโภคแต่ต้องพุ่งเป้าไปที่พัฒนาคนและไม่มีเครื่องมือไหนจะพัฒนาคนได้ดีไปกว่า การศึกษา” “แม้เทศบาลนครเชียงรายจะเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ของยูเนสโกแห่งแรกของไทยในปี 2562 แต่การเตรียมเมืองเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ว่านี้ เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นหลายสิบปี ในอดีต เชียงรายเป็นเมืองที่ห่างไกลความเจริญ ทางเทศบาลฯ เล็งเห็นว่าการจะพัฒนาเมือง ไม่สามารถทำได้แค่การทำให้เมืองมีสาธารณูปโภคครบ แต่ต้องพัฒนาผู้คนที่เป็นหัวใจสำคัญของเมือง และไม่มีเครื่องมือไหนจะพัฒนาคนได้ดีไปกว่า ‘การศึกษา’…
“ถ้าอาหารปลอดภัยเป็นทางเลือกหลักของผู้บริโภคเชียงรายจะเป็นเมืองที่น่าอยู่กว่านี้อีกเยอะ” “นอกจากบทบาทของการพัฒนาชุมชนและสังคมสงเคราะห์ กองสวัสดิการสังคม เทศบาลนครเชียงราย ยังมีกลไกในการส่งเสริมเศรษฐกิจของพี่น้อง 65 ชุมชน ภายในเขตเทศบาลฯ โดยกลไกนี้ครอบคลุมการส่งเสริมสุขภาพ และช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมในทางอ้อมด้วยกลไกที่ว่าคือ ‘สหกรณ์นครเชียงราย’ โดยสหกรณ์ฯ นี้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2560 หลักเราคือการสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชน…
“แม่อยากปลูกผักปลอดภัยให้ตัวเองและคนในเมืองกินไม่ใช่ปลูกผักเพื่อส่งขาย แต่คนปลูกไม่กล้ากินเอง” “บ้านป่างิ้ว ตั้งอยู่ละแวกสวนสาธารณะหาดนครเชียงราย เราและชุมชนฮ่องลี่ที่อยู่ข้างเคียงเป็นชุมชนเกษตรที่ปลูกพริก ปลูกผักไปขายตามตลาดมาแต่ไหนแต่ไร กระทั่งราวปี 2548 สำนักงานเกษตรอำเภอเมืองเชียงราย มาส่งเสริมให้ทำเกษตรปลอดภัย คนในชุมชนก็เห็นด้วย เพราะอยากทำให้สิ่งที่เราปลูกมันกินได้จริง ๆ ไม่ใช่ว่าเกษตรกรปลูกแล้วส่งขาย แต่ไม่กล้าเก็บไว้กินเองเพราะกลัวยาฆ่าแมลงที่ตัวเองใส่…
“วิวเมืองเชียงรายจากสกายวอล์กสวยมาก ๆขณะที่ผืนป่าชุมชนของที่นี่ก็มีความอุดมสมบูรณ์จนไม่น่าเชื่อว่านี่คือป่าที่อยู่ในตัวเมืองเชียงราย” “ก่อนหน้านี้เราเป็นพนักงานบริษัทเอกชนที่ต่างจังหวัด จนเทศบาลนครเชียงรายเขาเปิดสกายวอล์กที่ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนดอยสะเก็น และหาพนักงานนำชม เราก็เลยกลับมาสมัคร เพราะจะได้กลับมาอยู่บ้านด้วย ตรงนี้มีหอคอยชมวิวอยู่แล้ว แต่เทศบาลฯ อยากทำให้ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ก็เลยต่อขยายเป็นสกายวอล์กอย่างที่เห็น ซึ่งสุดปลายของมันยังอยู่ใกล้กับต้นยวนผึ้งเก่าแก่ที่มีผึ้งหลวงมาทำรังหลายร้อยรัง รวมถึงยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติบนภูเขา ในป่าชุมชนผืนนี้ จริง…