[THE RESEARHER นครปากเกร็ด] รศ.ดร.สมพร คุณวิชิต หัวหน้าโครงการวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด

WeCitizens สนทนากับ รศ. ดร.สมพร คุณวิชิต หัวหน้าโครงการวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด เทศบาลนครปากเกร็ด ถึง “โครงการบ่มเพาะและเร่งรัดกระบวนการเพื่อมุ่งสู่เมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาดและการพัฒนาความเป็นเลิศในการบริหารจัดการความเสี่ยงอุทกภัยในพื้นที่เทศบาลนครปากเกร็ด” ที่เขาขับเคลื่อน ว่าด้วยจุดเริ่มต้นและเป้าหมายในการทำให้ปากเกร็ดเป็นเมืองต้นแบบของการจัดการภัยพิบัติในระดับนานาชาติ เทศบาลนครปากเกร็ดมีความพร้อมมากน้อยแค่ไหน และการจัดการน้ำท่วมส่งผลต่อการทำปากเกร็ดให้เป็นเมืองน่าอยู่ได้อย่างไร ไปติดตามกัน

ก่อนอื่น ในฐานะที่คุณเป็นอาจารย์สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ หาดใหญ่ ทำไมจึงเลือกมาทำงานวิจัยไกลถึงเทศบาลนครปากเกร็ด  

ต้องเท้าความก่อนว่าผมจบปริญญาเอกด้านรัฐประศาสนศาสตร์ สาขาการจัดการภัยพิบัติจากสหรัฐฯ (Public Management & Emergency Management, University of North Texas) โดยในช่วงที่ทำวิจัย ผมได้กลับเมืองไทยมาทำเรื่องเมืองที่สามารถฟื้นตัวหลังเหตุอุทกภัยได้ดี โดยมีกรณีศึกษาคือเทศบาลนครนครสวรรค์ที่ถูกน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 โดยระหว่างนั้น ผมยังมีโอกาสมาเก็บข้อมูลที่เทศบาลนครนนทบุรีและเทศบาลนครปากเกร็ด เนื่องจากที่นั่นก็โดนน้ำท่วมหนักในปี 2554 และสามารถจัดการแก้ปัญหาหลังวิกฤตได้ดีด้วยเช่นกัน

หลังจากเรียนจบเมื่อสิบกว่าปีก่อน ผมก็กลับมาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยก็ยังคงทำวิจัยเรื่องเมืองยืดหยุ่นต่อภาวะภัยพิบัติ (Disaster-Resilient City) และมีโอกาสเข้าร่วมเวิร์กช็อปโครงการเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาดของ บพท. จึงมีโอกาสได้พบกับนายกฯ วิชัย บรรดาศักดิ์ (นายกเทศมนตรีนครปากเกร็ด) ที่มีโจทย์เรื่องการแก้ปัญหาน้ำท่วม จึงมีโอกาสได้ร่วมทำวิจัยด้วยกัน

การแก้ปัญหาน้ำท่วมมีความเชื่อมโยงกับการเป็นเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาดอย่างไร

      ข้อแรกคือคนปากเกร็ดมองตรงกันว่าปัญหาอุทกภัยคือภัยคุกคามที่สำคัญของพวกเขา โจทย์ของเมืองนี้จึงเป็น เราจะทำอย่างไรให้เมืองสามารถจัดการปัญหานี้ได้อย่างยั่งยืน ส่วนข้อสองคือ ผมชอบที่นายกฯ วิชัย ท่านให้ความเห็นไว้ว่า เนื่องจากเทศบาลนครปากเกร็ดที่เป็นเมืองขนาดใหญ่ที่อยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา และกรุงเทพฯ ถ้าเทศบาลฯ สามารถรับมือกับปัญหาน้ำท่วมได้ดี เมืองจะสามารถตอบโจทย์เรื่องเศรษฐกิจของผู้คนได้หมด และเนื่องจากปากเกร็ดค่อนข้างมีสาธารณูปโภคครบอยู่แล้ว การแก้ปัญหาน้ำท่วมคือโจทย์หลักที่จะนำไปสู่การเป็นเมืองน่าอยู่

อยากให้อาจารย์อธิบายความหมายของเมืองยืดหยุ่นต่อภาวะภัยพิบัติ (Disaster-Resilient City) และที่ผ่านมาปากเกร็ดมีความพร้อมต่อการรับมือน้ำท่วมมากแค่ไหน

Disaster Resilient City คือเมืองที่มีความพร้อมและสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วหากเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ จะได้รับผลกระทบน้อย สามารถปรับตัว และฟื้นสภาพได้เร็ว นี่คือหัวใจสำคัญของการเป็นเมืองสมัยใหม่ในโลกที่กำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากความแปรปรวนของธรรมชาติ เพราะเมืองเป็นศูนย์รวมของผู้คน ธุรกิจ และการบริหารจัดการ หากเกิดภัยพิบัติก็จะส่งผลกระทบต่อผู้คนเป็นจำนวนมาก และผลกระทบจะส่งต่อไปอย่างเป็นลูกโซ่

ผมมีโอกาสได้ทำเวิร์กช็อปการพัฒนาแผน Resilient City กับสำนักงานเพื่อการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติแห่งสหประชาชาติ (UNDRR) และเรียนรู้เกณฑ์ Resilient Scorecard โดยนำเกณฑ์ 10 ตัวในบริบทของอุทกภัยมาเทียบเคียง พบว่าเทศบาลนครปากเกร็ดค่อนข้างมีความพร้อม และสามารถเป็นเมืองต้นแบบในการจัดการอุทกภัยได้ อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้จะเข้ามาหนุนเสริมให้ระบบมีความเข้มแข็ง และตอบโจทย์กับการใช้งานของผู้คนในเขตเทศบาลฯ ได้เพิ่มขึ้น

งานวิจัยของคุณจะเข้ามาหนุนเสริมระบบของเทศบาลฯ ได้อย่างไร

      เทศบาลฯ มีเครื่องมือรับมือกับภัยพิบัติที่ค่อนข้างครบพร้อมอยู่แล้ว เช่น มีกล้องที่คอยมอนิเตอร์ระดับน้ำ มีเครื่องวัดมลภาวะทางอากาศ มี Dashboard และ LINE OA ที่คอยอัปเดตสถานการณ์แก่ชาวบ้าน แต่ต้องยอมรับว่า สิ่งที่เค้ามีอยู่ก็ไม่ได้สมบูรณ์ 100 เปอร์เซ็นต์ หากยังมีอะไรที่สามารถปรับปรุงพัฒนาให้ดีได้ขึ้นอีก…

ยกตัวอย่าง แม้เทศบาลฯ จะมีระบบแจ้งเตือนผ่านไลน์ แต่มันก็ยังเป็น One Way Communication หรือการสื่อสารจากเทศบาลฯ ฝั่งเดียว ซึ่งถ้าประชาชนเจอเหตุภัยพิบัติในพื้นที่ที่กล้องของเทศบาลฯ ไม่สามารถจับภาพได้ และเขาอยากแจ้งเตือนให้คนอื่นได้รับรู้ หรือขอความช่วยเหลือ ในขณะเดียวกัน ถ้าชาวปากเกร็ดสามารถแจ้งข่าวสารในไลน์นี้ได้ มันยังส่งผลต่อการสร้างกระบวนการการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน กลายเป็นหู เป็นตา หรือร่วมคิดในการแก้ปัญหาเมืองในมิติอื่น ๆ ที่ไม่ใช่แค่ภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างเดียว

ขณะเดียวกัน เราก็เสนอให้มีการแยกแอปพลิเคชันที่มอนิเตอร์ระดับน้ำ กับปริมาณฝุ่นควันออกจากกัน โดยมีฟังก์ชันแบบเดียวกัน แต่แยกเนื้อหา เพื่อทำให้ทีมงานของเทศบาลฯ สามารถแบ่งแยกทีมรับผิดชอบอย่างเป็นระบบ ถ้าชุมชนไหนเจอปัญหาฝุ่นควัน ทีมนึงก็อาจเข้าไปหาทางแก้ไข ถ้าชุมชนไหนที่มีพนังกันน้ำชำรุด ก็จะมีอีกทีมเข้าไปเร่งซ่อม หรือกระทั่งอพยพชาวบ้านในกรณีที่มีความเสี่ยงสูง เป็นต้น

นอกจากแอปพลิเคชันไลน์ อาจารย์มองถึงเครื่องมือการแจ้งเตือนอื่น ๆ อีกไหม

      เรามองว่าไลน์มันเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับสังคมเมืองใหญ่ จริงอยู่ บางชุมชนอาจมีเสียงตามสาย แต่มันก็อาจไม่ครอบคลุมถึงภาพรวมของเมือง หรือที่ผ่านมาเทศบาลเขาใช้เว็บไซต์และเฟซบุ๊กเป็นอีกสื่อสำหรับแจ้งข่าวสาร แต่ต้องยอมรับว่าผู้สูงวัยหลายท่านเขาก็อาจไม่เชี่ยวชาญเครื่องมือนี้เท่ากับที่ใช้ไลน์ที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคย และเข้าถึงง่ายกว่า

งานวิจัยเราจึงมุ่งพัฒนาระบบไลน์ให้ดียิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแจ้งเตือน ตอนนี้ LINE OA ของเราจะมีการบรอดแคสต์แจ้งเตือน เช่น ช่วงเวลาที่น้ำจะท่วม ระดับของน้ำ และวิธีเตรียมตัว แต่ปัญหาคือสถานการณ์ปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงเร็ว เช่น ฝนที่ตกอย่างไม่คาดคิด ยังไม่มีการแจ้งเตือนแบบต่อเนื่อง เราตั้งใจจะทำให้ระบบนี้มอนิเตอร์สถานการณ์ได้ตลอดเวลา เพื่อให้ข้อมูลมีความเรียลไทม์ นี่เป็นการ “อัปเลเวล” การใช้งานไลน์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นการปรับตัวเข้าสู่ยุคข้อมูลเปิด (Open Data) ซึ่งภาครัฐก็สนับสนุนแนวทางนี้ การรวมข้อมูลทั้งหมดไว้ในช่องทางเดียว จะช่วยให้ประชาชนรับข้อมูลได้ง่ายและทันเวลามากขึ้น

แล้วเครื่องมืออื่น ๆ ในการช่วยยกระดับการป้องกันน้ำท่วม นอกจากเครื่องมือแจ้งเตือนล่ะครับ

      อันนี้สำคัญไม่แพ้กัน ตอนนี้เทศบาลฯ กำลังพัฒนาระบบ City Data Platform เพื่อจัดการปัญหาน้ำท่วมโดยเริ่มจากการสำรวจและประเมินศักยภาพของท่อระบายน้ำใต้ดิน เช่น การตรวจสอบความลึกของท่อและปริมาณสิ่งอุดตันในระบบระบายน้ำ หากทราบระดับการอุดตัน เช่น 50% 25% หรือ 10% ก็จะช่วยวางแผนการขุดลอกและบริหารจัดการได้อย่างแม่นยำ

นอกจากนี้ โครงการฯ ยังมีแผนการพัฒนาเทคโนโลยีการสำรวจด้วยเลเซอร์หรือโซนาร์ เพื่อติดตามความเสี่ยงอุทกภัย โดยข้อมูลจะถูกเชื่อมโยงกับฐานข้อมูล GIS เพื่อแสดงสถานะของท่อระบายน้ำ (สีแดง สีเหลือง สีเขียว) ที่ช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถวางแผนการขุดลอกล่วงหน้าและแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยง

และสำคัญที่สุด ผมคิดว่าคือการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงกิจกรรมที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้กับเยาวชนในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นการเอาตัวรอดจากภัยพิบัติ การแยกขยะ ไปจนถึงการตระหนักรู้ในการสร้างสมดุลคาร์บอน โดยเรามีแผนทำโครงการอบรมจำลองสถานการณ์ภัยพิบัติผ่าน Metaverse ให้เด็ก ๆ จากโรงเรียนของเทศบาลได้เรียนรู้นำร่องก่อน เช่น ถ้าน้ำท่วมหนักมา พวกเขาจะรับมืออย่างไร เมื่อจบหลักสูตร จะได้รับใบรับรอง (Certificate) ได้สถานะเป็น Ready Kid เยาวชนที่มีความตระหนักรู้ และพร้อมรับมือทุกสถานการณ์

ผมสนใจประเด็นสุดท้าย เพราะเด็ก ๆ ถือเป็นกำลังสำคัญไม่เพียงแค่รับมือกับปัญหา แต่ยังช่วยแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นทาง

แน่นอน ถ้าเยาวชนมีสำนึกเรื่องสิ่งแวดล้อมในวงกว้าง ก็อาจมีส่วนช่วยลดผลกระทบจากธรรมชาติได้ในระดับหนึ่ง ขณะที่ในด้านปลายทาง ตอนนี้เราก็คุย ๆ กับผู้พัฒนาระบบ Metaverse ว่าในงบประมาณเท่านี้ เราจะจำลองสถานการณ์ได้กี่ภัยพิบัติ แต่ที่แน่ ๆ ต้องมีน้ำท่วมเป็นอันดับแรก เพราะเป็นปัญหาสำคัญของปากเกร็ด ต่อไปอาจเป็นอัคคีภัย หรือแผ่นดินไหว ขณะเดียวกัน เราสามารถนำโมเดลนี้ไปใช้กับเมืองอื่น ๆ ได้ เช่น ถ้าคุณอยู่จังหวัดติดชายทะเล คุณก็อาจเรียนรู้เรื่องการรับมือกับสึนามิ คุณอยู่ภาคเหนือก็เรียนรู้เรื่องแผ่นดินไหว เป็นต้น  

คุณมองเป้าหมายระยะยาวของโครงการวิจัยนี้อย่างไร

หลัก ๆ  ก็คือทำให้คนปากเกร็ดอยู่ดีมีสุขนั่นแหละครับ แต่ถ้ามองในฐานะนักวิจัย คืออยากทำให้ปากเกร็ดเป็นเมืองต้นแบบของการจัดการภัยพิบัติในระดับนานาชาติ ซึ่งเมืองเรามีศักยภาพนะครับ ทั้งจากเทคโนโลยี การทำงานของรัฐ และสาธารณูปโภคที่เรามี รวมถึงความร่วมมือจากภาคประชาชน อีกเรื่องคือ ผมฝันอยากให้ปากเกร็ดเป็นเมืองเครือข่าย Resilient City ของ UNDRR ซึ่งเรากำลังทำให้เมืองผ่านเกณฑ์ชี้วัดทั้ง 10 ด้าน และร่วมกับเทศบาลฯ ยื่นสมัครต่อไป รวมถึงการบรรจุเรื่องนี้เป็นนโยบาย เป็นแผนการพัฒนาเมืองด้วย

#เทศบาลนครปากเกร็ด #CIAP #โปรแกรมบ่มเพาะและเร่งรัดกระบวนการเพื่อมุ่งสู่การเป็นเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด #PMUA #บพท #Wecitizens

Wecitizens Editor

Recent Posts

[The Insider]<br />พัชรี แซมสนธ์

“เมืองอาหารปลอดภัยไม่ได้ให้ประโยชน์แค่เฉพาะผู้คนในเขตเทศบาลฯแต่มันสามารถเป็นต้นแบบให้เมืองอื่น ๆ ที่อยากส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้คนได้เช่นกัน” “งานประชุมนานาชาติของสมาคมพืชสวนโลก (AIPH Spring Meeting Green City Conference 2025) ที่เชียงรายเป็นเจ้าภาพเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา เน้นย้ำถึงทิศทางการพัฒนาเมืองสีเขียว…

3 weeks ago

[The Insider]<br />พรทิพย์ จันทร์ตระกูล

“ทั้งพื้นที่การเรียนรู้ นโยบายเมืองอาหารปลอดภัย และโรงเรียนสำหรับผู้สูงวัยคือสารตั้งต้นที่จะทำให้เชียงรายเป็นเมืองแห่งสุขภาพ (Wellness City)” “กล่าวอย่างรวบรัด ภารกิจของกองการแพทย์ เทศบาลนครเชียงราย คือการทำให้ประชาชนไม่เจ็บป่วย หรือถ้าป่วยแล้วก็ต้องมีกระบวนการรักษาที่เหมาะสม ครบวงจร ที่นี่เราจึงมีครบทั้งงานส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค การรักษาเมื่อเจ็บป่วย และระบบดูแลต่อเนื่องถึงบ้าน…

3 weeks ago

[The Insider]<br />ณรงค์ศักดิ์ เตือนสกุล

“การจะพัฒนาเมือง ไม่ใช่แค่เรื่องสาธารณูปโภคแต่ต้องพุ่งเป้าไปที่พัฒนาคนและไม่มีเครื่องมือไหนจะพัฒนาคนได้ดีไปกว่า การศึกษา” “แม้เทศบาลนครเชียงรายจะเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ของยูเนสโกแห่งแรกของไทยในปี 2562 แต่การเตรียมเมืองเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ว่านี้ เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นหลายสิบปี ในอดีต เชียงรายเป็นเมืองที่ห่างไกลความเจริญ ทางเทศบาลฯ เล็งเห็นว่าการจะพัฒนาเมือง ไม่สามารถทำได้แค่การทำให้เมืองมีสาธารณูปโภคครบ แต่ต้องพัฒนาผู้คนที่เป็นหัวใจสำคัญของเมือง และไม่มีเครื่องมือไหนจะพัฒนาคนได้ดีไปกว่า ‘การศึกษา’…

3 weeks ago

[The Insider]<br />นนทพัฒ ถปะติวงศ์

“ถ้าอาหารปลอดภัยเป็นทางเลือกหลักของผู้บริโภคเชียงรายจะเป็นเมืองที่น่าอยู่กว่านี้อีกเยอะ” “นอกจากบทบาทของการพัฒนาชุมชนและสังคมสงเคราะห์ กองสวัสดิการสังคม เทศบาลนครเชียงราย ยังมีกลไกในการส่งเสริมเศรษฐกิจของพี่น้อง 65 ชุมชน ภายในเขตเทศบาลฯ โดยกลไกนี้ครอบคลุมการส่งเสริมสุขภาพ และช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมในทางอ้อมด้วยกลไกที่ว่าคือ ‘สหกรณ์นครเชียงราย’ โดยสหกรณ์ฯ นี้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2560 หลักเราคือการสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชน…

3 weeks ago

[The Citizens]<br />ชวนพิศ สุริยวงค์

“แม่อยากปลูกผักปลอดภัยให้ตัวเองและคนในเมืองกินไม่ใช่ปลูกผักเพื่อส่งขาย แต่คนปลูกไม่กล้ากินเอง” “บ้านป่างิ้ว  ตั้งอยู่ละแวกสวนสาธารณะหาดนครเชียงราย เราและชุมชนฮ่องลี่ที่อยู่ข้างเคียงเป็นชุมชนเกษตรที่ปลูกพริก ปลูกผักไปขายตามตลาดมาแต่ไหนแต่ไร กระทั่งราวปี 2548 สำนักงานเกษตรอำเภอเมืองเชียงราย มาส่งเสริมให้ทำเกษตรปลอดภัย คนในชุมชนก็เห็นด้วย เพราะอยากทำให้สิ่งที่เราปลูกมันกินได้จริง ๆ ไม่ใช่ว่าเกษตรกรปลูกแล้วส่งขาย แต่ไม่กล้าเก็บไว้กินเองเพราะกลัวยาฆ่าแมลงที่ตัวเองใส่…

3 weeks ago

[The Citizens]<br />กาญจนา ใจปา และพิทักษ์พงศ์ เชอมือ

“วิวเมืองเชียงรายจากสกายวอล์กสวยมาก ๆขณะที่ผืนป่าชุมชนของที่นี่ก็มีความอุดมสมบูรณ์จนไม่น่าเชื่อว่านี่คือป่าที่อยู่ในตัวเมืองเชียงราย” “ก่อนหน้านี้เราเป็นพนักงานบริษัทเอกชนที่ต่างจังหวัด จนเทศบาลนครเชียงรายเขาเปิดสกายวอล์กที่ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนดอยสะเก็น และหาพนักงานนำชม เราก็เลยกลับมาสมัคร เพราะจะได้กลับมาอยู่บ้านด้วย ตรงนี้มีหอคอยชมวิวอยู่แล้ว แต่เทศบาลฯ อยากทำให้ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ก็เลยต่อขยายเป็นสกายวอล์กอย่างที่เห็น ซึ่งสุดปลายของมันยังอยู่ใกล้กับต้นยวนผึ้งเก่าแก่ที่มีผึ้งหลวงมาทำรังหลายร้อยรัง รวมถึงยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติบนภูเขา ในป่าชุมชนผืนนี้ จริง…

3 weeks ago