[The Mayor]  ดร.กณพ เกตุชาติ
นายกเทศมนตรีนครนครศรีธรรมราช
นคร 48 ชั่วโมง นครศรีธรรมราชกับภารกิจเมืองอัจฉริยะ 

Start
6 views
33 mins read

99,918 คือจำนวนผู้ใช้งาน LINE OA @Nakhoncity แอปพลิเคชันของเทศบาลนครนครศรีธรรมราช ในช่วงเดือนมีนาคม 2568 ตัวเลขนี้ถือว่าสูงมาก เมื่อเทียบกับประชากรในเขตเทศบาลฯ ที่มีราว 110,000 คน

แม้แอปฯ เดียวจะไม่เปลี่ยนเมืองให้กลายเป็นสมาร์ทซิตี้ในชั่วข้ามคืน แต่ผลสำรวจความพึงพอใจจากโครงการเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ชี้ว่า @Nakhoncity กลายเป็นเครื่องมือที่ตอบโจทย์ชีวิตของคนในพื้นที่อย่างมีนัยสำคัญ

ตั้งแต่การอัปเดตปริมาณน้ำแบบเรียลไทม์ แจ้งปัญหาท่อตัน ไฟดับ ไปจนถึงขอดูกล้องวงจรปิด รวมถึงการทำธุรกรรมต่าง ๆ ในหน่วยงานเทศบาลฯ ฯลฯ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ ทุกการแจ้งเหตุจะได้รับการแก้ไขภายใน “48 ชั่วโมง” ทั้งยังแก้ไขได้จริง และนี่คือไฮไลต์หลักของการบริการทางดิจิทัลนี้

นั่นล่ะ แม้จะมีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยแค่ไหน แต่หากไม่มีการประสานการทำงานอย่างรอบด้านและชาญฉลาด ผลลัพธ์ก็ไม่มีทางเกิด

WeCitizens พูดคุยกับ ดร.กณพ เกตุชาติ นายกเทศมนตรี (ดำรงตำแหน่ง พ.ศ. 2564–2568) เพื่อเจาะลึกเบื้องหลังความสำเร็จและทิศทางการต่อยอดแอปฯ ตัวนี้ในอนาคต ภายใต้นโยบายเปลี่ยน “เมืองนคร” ให้เป็นเมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน

เราจะแก้ข้อร้องเรียนภายใน 48 ชั่วโมง พร้อมมีการรายงานผลของการแก้ปัญหาทันที



ก่อนอื่น อยากให้เล่าถึงจุดเริ่มต้นของ LINE OA @Nakhoncity ให้ฟังหน่อยครับ
แอปฯ นี้ริเริ่มโดยท่านนายกฯ โดยเป็นหนึ่งในเครื่องมือการพัฒนาเมืองอัจฉริยะที่เทศบาลฯ ประกาศเมื่อปี 2564 ที่ผ่านมา ภายใต้วิสัยทัศน์ว่าเทศบาลเราจะพัฒนาเมืองให้เป็นสมาร์ทซิตี้ แต่ก็ยังอยู่ในพื้นฐานของเมืองประวัติศาสตร์ และเมืองที่ส่งเสริมการเรียนรู้ให้กับผู้คนทุกช่วงวัย

ที่ผ่านมา เทศบาลเราสามารถยกระดับโรงเรียนในสังกัดให้กลายเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ของผู้ปกครองได้แล้ว ทั้งยังมีการนำหลักสูตรดิจิทัล AI และห้องเรียนเมตาเวิร์สมาใช้ทั้งในโรงเรียน และศูนย์การเรียนรู้กลางของเรา รวมถึงการส่งเสริมการเรียนรู้นอกห้องเรียนสำหรับประชาชน 

แต่โจทย์สำคัญคือ เราจะทำอย่างไรให้ผู้คนมีบทบาทในการพัฒนาเมืองไปตามวิสัยทัศน์นี้ รวมถึงสร้างกลไกที่ทำให้เมืองน่าอยู่ แอปพลิเคชันไลน์โอเอจึงถูกเลือกมาเพื่อตอบโจทย์นี้ โดยนี่เป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้ผู้คนสามารถอัปเดตข้อมูลต่าง ๆ ของเมือง รับเรื่องร้องเรียน และแจ้งเตือนเหตุต่าง ๆ

ที่สำคัญ เมื่อเราให้คำมั่นสัญญากับประชาชนว่า เราจะแก้ข้อร้องเรียนภายใน 48 ชั่วโมง พร้อมมีการรายงานผลของการแก้ปัญหาทันที เราก็สามารถสร้างความไว้วางใจ และแนวร่วมให้ประชาชนเข้ามาเป็นหูเป็นตาในการจัดการเมืองของเราไปพร้อมกัน

ทำไมต้องเป็น LINE OA ครับ
ง่ายที่สุดแล้วครับ เราเคยคุยกันว่าเทคโนโลยีควรเป็นแบบไหน ซึ่งหลายเมืองเคยทดลองใช้แอปฯ หลากหลาย แต่พอใช้งานยาก ซับซ้อน ชาวบ้านโหลดมาก็ลบ เพราะใช้ไม่เป็น

หัวใจของการเลือกเทคโนโลยีที่ “ฉลาด” คือ ต้องตอบโจทย์คนใช้งานจริง ลงทุนน้อยแต่ได้ผลสูง เพราะชาวบ้านใช้กันอยู่แล้ว ไม่ต้องเรียนรู้อะไรใหม่ เราไม่ได้เริ่มจากเทคโนโลยี แต่เริ่มจาก “ความต้องการของชาวบ้าน” แล้วค่อยหาเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์นั้นให้ได้จริง

@Nakhoncity ทำงานอย่างไร
เมื่อเข้าไปใน LINE OA จะมีเมนูให้เลือกใช้งาน เช่น จองคิวทำธุรกรรมกับเทศบาลฯ ดูสถานะน้ำจากกล้อง CCTV แบบเรียลไทม์ พร้อมระบบแจ้งเตือนเมื่อระดับน้ำถึงจุดวิกฤติ อีกฟังก์ชันคือรับเรื่องร้องเรียน ระบบจะคัดกรองและส่งต่อไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบ เช่น ไฟทางดับ ระบบจะส่งเรื่องถึงทีมช่าง แก้ไขแล้วถ่ายรูปส่งกลับภายใน 48 ชั่วโมงหลังรับเรื่อง

เราแก้ปัญหาทุกเรื่องได้ 48 ชั่วโมงเลยเหรอครับ
ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ ๆ อย่างเช่นถ้ามีอาคารเสียหายหนัก และจำเป็นต้องรองบประมาณมาซ่อมแซม เราก็จะแจ้งเหตุผลไป แต่ถ้าพวกขยะ ไฟฟ้า น้ำไม่ไหล ถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ อันนี้เราทำได้ทันทีภายใน 48 ชั่วโมง


นี่คือเหตุผลว่าทำไมคนในเขตเทศบาลฯ ถึงใช้แอปฯ กันเกิน 80% ของประชากรทั้งหมด ยกเว้นแค่เด็กเล็กที่ยังใช้มือถือไม่ได้ ซึ่งสถิตินี้ ถ้าเทียบกับเมืองอื่น ๆ ที่เขาใช้กันแค่ 20% ก็ถือว่าเรามาถูกทางแล้ว

น่าสนใจที่บอกว่าแอปฯ นี้ไม่ใช่แค่เครื่องมือร้องเรียนปัญหา แต่เป็นเครื่องมือสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน อยากให้ขยายความเพิ่มหน่อยครับ
แอปฯ นี้ไม่ใช่แค่เครื่องมือร้องเรียน แต่ช่วยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดูแลเมือง เช่น การรายงานปัญหาขยะหรือการปล่อยน้ำเสีย ซึ่งทำให้คนในเมืองมีจิตสำนึกเห็นเมืองเป็นบ้านของตัวเอง

ในทางกลับกัน เทศบาลฯ ก็สามารถเรียนรู้จากการร้องเรียน เช่น ปัญหาขยะชิ้นใหญ่จากผู้สูงวัยที่จัดการไม่ไหว ซึ่งอาจไปอุดตันท่อระบายน้ำได้ เมื่อรับรู้ปัญหานี้ เราจึงจัดบริการเก็บขยะชิ้นใหญ่ถึงบ้านฟรี และบางอย่างที่สามารถขายได้ เช่น เบาะหรือจักรยาน จะถูกส่งต่อให้ทีมคัดแยก ขายต่อและหมุนเวียนทรัพยากร

นี่คือตัวอย่างของการใช้เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มออนไลน์มาช่วยดูแลเมือง ซึ่งข้อมูลร้องเรียนต่าง ๆ จากประชาชนจะถูกรวบรวมในระบบคล้ายกับ CDP (City Data Platform) เช่น แจ้งว่าถนนตรงไหนชำรุด ไฟฟ้าตรงไหนดับบ่อย ระบบก็จะเก็บข้อมูลอัตโนมัติและแสดงผลชัดเจน

ข้อมูลเหล่านี้ทำให้เราสามารถไปชี้แจงกับหน่วยงานกลาง เช่น สำนักงบประมาณ ได้อย่างมั่นใจ


เหมือนใช้แอปฯ นี้เป็นการรวบรวมและสังเคราะห์ข้อมูลเพื่อไปกำหนดแผนพัฒนาเมือง
ถูกต้องครับ เพราะเทศบาลจำเป็นต้องมีแผนชัดเจน ทั้งแผนระยะสั้นประจำปี และแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี ระบบดิจิทัลช่วยเปลี่ยนจากเอกสารเป็นข้อมูลเรียลไทม์ที่วิเคราะห์ได้ทันที เช่น ถนนเส้นไหนควรซ่อม ไฟฟ้าเขตไหนต้องปรับปรุง ระบบจะขึ้นสถิติไว้ทั้งหมด

และเมื่อถูกถามว่าแผนที่เสนองบประมาณไปนั้นมาจากไหน เราก็สามารถอ้างอิงข้อมูลได้ทันที เช่น “กลุ่มร้องเรียนเรื่องไฟฟ้าบนถนนเยอะที่สุดในเขตนี้” ซึ่งนำมาสู่การจัดทำแผนและตั้งงบประมาณอย่างมีหลักฐานรองรับ

อย่างตอนนี้เราขอจัดงบสำหรับระบบประปาเป็นปีที่สองแล้ว เพราะเราดูแลประปาเอง ไม่ได้ใช้บริการประปาภูมิภาค ซึ่งทำให้ราคาน้ำของเราเป็นหนึ่งในราคาที่ถูกที่สุดในประเทศ เพียงหน่วยละ 2.50 บาท ในขณะที่ของประปาภูมิภาคสูงถึงหน่วยละ 11 บาท


ข้อมูลเหล่านี้ทำให้เราสามารถไปชี้แจงกับหน่วยงานกลาง เช่น สำนักงบประมาณ ได้อย่างมั่นใจ และเมื่อระบบรับงบประมาณแบบ “รับตรง” จากส่วนกลางมากขึ้น เราก็ยิ่งต้องมีข้อมูลรองรับที่ชัดเจน เพื่อป้องกันการถูกตัดงบโดยกรรมาธิการหรือฝ่ายนิติบัญญัติ

การมีข้อมูลเมืองที่พร้อมจะช่วยรับมือกับปัญหาที่ดูเหมือนเกินขอบเขตความสามารถของเทศบาลฯ ทำได้อย่างไร โดยเฉพาะปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นบ่อยในเขตตัวเมือง 
เราอาจแก้ปัญหาให้หมดไปไม่ได้ แต่สามารถลดผลกระทบได้ เช่น น้ำท่วมครั้งล่าสุด แม้วางแนวป้องกันสูงแค่ไหนก็ยังไม่พอ เพราะภัยพิบัติรุนแรงขึ้นทุกปี และเมืองเองก็เกินขีดจำกัดการรับมือ

ที่ผ่านมา เรารับมือโดยอิงข้อมูลเดิม เมืองจึงต้องเปลี่ยนแนวคิด ใช้ “ข้อมูล” เป็นเครื่องมือสำคัญ เช่น การเร่งระบายน้ำให้เร็วที่สุด แม้กั้นน้ำไม่ได้ แต่ลดความเสียหายได้ชัดเจน ปี 2563 น้ำท่วมอยู่ถึง 4 วัน แต่หลังจากปี 2564 ที่เราเริ่มใช้ข้อมูลจริงจัง เรานำกล้องวงจรปิดที่เคยใช้ดูจราจร มาส่องคลอง จุดขยะ จุดตื้นเขิน แล้วส่งทีมงานเข้าไปจัดการล่วงหน้าได้ทันก่อนน้ำมา

ขณะเดียวกัน ระบบเตือนภัยน้ำท่วมก็พัฒนาเพิ่มขึ้น จากเดิมต้องรอ SMS ทางราชการ เราเปลี่ยนมาใช้กล้องต้นน้ำร่วมกับ LINE OA ของเทศบาลฯ ให้ประชาชนติดตามสถานการณ์แบบเรียลไทม์ มีหมวดเฉพาะอย่าง “กล้องเฝ้าระดับน้ำท่วม” และขณะนี้ก็กำลังพัฒนาให้ครอบคลุมพื้นที่ต้นน้ำมากขึ้นอีก

“สัตวแพทย์ออนไลน์” ให้ประชาชนแจ้งขอฉีดวัคซีนสุนัขผ่านระบบได้ทันที ชาวบ้านสามารถแจ้งพิกัดสัตว์เลี้ยงเข้ามาได้ ระบบจะบันทึกไว้ทั้งหมด ช่วยให้วางแผนบริการได้แม่นยำขึ้น

ใช้ข้อมูลเมืองมาช่วยลดทอนปัญหาตั้งแต่ต้นเหตุ และรับมือกับปลายเหตุ
ใช่ครับ ที่สำคัญมันยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการด้วย 

ขยายความหน่อยครับ
เทศบาลฯ ขยายสวัสดิการ “สัตวแพทย์ออนไลน์” ให้ประชาชนแจ้งขอฉีดวัคซีนสุนัขผ่านระบบได้ทันที แทนการให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สำรวจเหมือนในอดีตที่ต้องเดินสำรวจ 67 ชุมชน ใช้เวลาทั้งเดือน และผลลัพธ์ไม่แน่นอน บางวันฉีดได้เพียง 5 ตัว บางวันถึง 50 ตัวเมื่อมีระบบข้อมูลเมือง ชาวบ้านสามารถแจ้งพิกัดสัตว์เลี้ยงเข้ามาได้ ระบบจะบันทึกไว้ทั้งหมด ช่วยให้วางแผนบริการได้แม่นยำขึ้น เช่น หากพบว่าสุนัขแมวอยู่กระจุกตัวเป็นจุด ก็สามารถส่งทีมบริการเฉพาะจุด ลดจำนวนรอบจาก 67 เหลือเพียง 20 รอบ ประหยัดทั้งค่าน้ำมัน อุปกรณ์ ค่าแรง และโอที ขณะที่งบที่ประหยัดได้ยังสามารถนำไปต่อยอดพัฒนาสวัสดิการอื่น ๆ ได้ เช่น ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย หรือกลุ่มเปราะบางในเมือง

ฟังดูแล้วแอปฯ นี้ค่อนข้างครอบคลุมการแก้ปัญหาทั้งหมด แต่อยากทราบว่าแล้วปัญหาในเชิงโครงสร้างหลักที่ฟังก์ชันของแอปฯ อาจไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ตอนนี้มีอะไรบ้างครับ
หลัก ๆ เลยคือเรื่องการจัดการขยะครับ จริงอยู่เรามีระบบการจัดเก็บที่มีประสิทธิภาพแล้ว แต่พื้นที่รับขยะของเรายังคงต้องแก้อย่างเร่งด่วน

หากคุณไปออกกำลังกายที่สวนสาธารณะ “สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์​ 84​ (ทุ่งท่าลาด)​” จะเห็นพื้นที่พักขยะขนาดใหญ่อยู่ด้านหลัง ตรงนี้แหละที่เรามีปัญหาเรื่องขยะที่ต้องจัดการด่วน เนื่องจากเทศบาลของเราเป็นศูนย์กลางกำจัดขยะให้กับพื้นที่ อปท. อื่น ๆ ด้วย และเรามีความสามารถในการรองรับได้อย่างมากไม่เกิน 5 ปี

ล่าสุดศาลปกครองมีคำสั่งห้ามไม่ให้เทศบาลฯ รับขยะจากพื้นที่อื่นอีก หลังจากมีการร้องเรียนจากชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากภาระที่แบกรับขยะทั้งจังหวัด ตอนนี้เราจึงต้องเร่งวางแผนตั้งแต่ต้นทาง เช่น ถ้าเรามีขยะวันละ 100 กิโล ถ้าสามารถคัดแยกและส่งไปโรงไฟฟ้าได้สัก 90 กิโล เท่ากับลดภาระของกองขยะได้มหาศาล แถมยังมีรายได้กลับเข้ามาด้วย

เทศบาลฯ มีโรงไฟฟ้าจากขยะของเราเองไหม
ยังไม่ใช่ครับ โรงไฟฟ้าที่วางแผนจะสร้างอยู่ที่กองขยะ แต่ติดปัญหาเรื่องที่ดิน ที่ดินตรงนั้นเป็นสาธารณะรกร้างซึ่งอยู่ในความดูแลของกระทรวงมหาดไทย การจะใช้จึงต้องขออนุญาตผ่านขั้นตอนต่าง ๆ ถึงขั้น ครม. ผ่านมา 4 ปีแล้วก็ยังสร้างไม่ได้ ผู้รับเหมาบางรายเริ่มจะถอดใจ ทั้งที่โครงการนี้ได้รับการอนุมัติในรัฐบาลชุดก่อน แต่เมื่อรัฐบาลเปลี่ยนก็ไม่ได้รับความสำคัญเหมือนเดิม

ตอนนี้เราเลยต้องหาทางอื่นในการจัดการ เช่น การส่งขยะแห้งไปแปรรูปเป็นเชื้อเพลิง RDF (Refuse Derived Fuel) ให้กับโรงงานปูนของ SCG ซึ่งพร้อมรับขยะแบบนี้ไม่อั้น ขยะ RDF เป็นขยะแห้งที่อัดเป็นแท่ง ใช้เผาในกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์ เป็นโซลูชันที่ทั้งลดขยะและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

แนวทางใหม่คือต้องเริ่มคัดแยกตั้งแต่ต้นทาง เพราะการคัดแยกปลายทางที่กองขยะทำได้ยากเนื่องจากขยะทับถมมานาน เทศบาลฯ จึงวางระบบให้บ้านเรือน โรงแรม และสถานประกอบการสามารถแจ้งขอให้เทศบาลฯ ไปรับขยะแห้งโดยตรงผ่านระบบออนไลน์ เช่น โรงแรมทวินโลตัส




#เทศบาลนครนครศรีธรรมราช #CIAP #มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ #มหาวิทยาลัยมหาสารคาม #wecitizens #บพท #pmua #เมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด