/

สิ่งที่น่าดีใจคือได้เห็นชาวบ้านตระหนักในต้นทุนด้านสุขภาพ และการออมทรัพย์ของตัวเอง เพราะเมื่อพวกเขามีเงินเก็บและมีสุขภาพที่ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีขึ้นตามมา

Start
377 views
14 mins read

“ในส่วนของโครงการเมืองแห่งการเรียนรู้ปากพูน พวกเรารับผิดชอบในโครงการย่อยที่ 5 การประเมินและพัฒนาระดับคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจชุมชนปากพูน ซึ่งได้รับมอบหมายจากหัวหน้าโครงการให้ไปสอบถามชาวบ้านในชุมชนและเจ้าหน้าที่จากองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นว่าชุมชนประสบปัญหาเรื่องใด และต้องการให้โครงการวิจัยมาหนุนเสริมเรื่องใดเป็นพิเศษ

เราทำแบบสอบถามและการสัมภาษณ์จากชาวบ้านใน 12 หมู่บ้านของตำบลปากพูน โดยได้กลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นวัยทำงานอายุระหว่าง 21-60 ปี เกือบ 400 คน พร้อมไปกับการจัดเวทีชุมชนเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ในภาพรวมเราพบว่าชาวปากพูนมีคุณภาพชีวิตที่ดี แต่ในแง่มุมด้านสุขภาพ การทำงาน และสัมพันธภาพ ยังอยู่ในระดับปานกลาง โดยปัญหาที่พบส่วนใหญ่มีสองเรื่องหลักคือ อาการเจ็บป่วยจากการทำงาน และอีกเรื่องคือปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดจากชาวบ้านยังขาดการออมทรัพย์

พอทราบเช่นนั้น ควบคู่ไปกับการจัดกระบวนการการเรียนรู้ของโครงการย่อยอื่นๆ เราก็ได้ร่วมกับนักวิชาการจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลมาให้ความรู้ในการดูแลร่างกายแก่ชาวบ้าน โดยเฉพาะโรคกล้ามเนื้อที่เกิดจากการทำงานของชาวสวนและชาวประมง รวมถึงโรคกระดูกที่เกิดในผู้สูงวัย

ส่วนประเด็นด้านการออมทรัพย์ เราได้ชวนนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราชมาจัดกิจกรรมให้ความรู้ในด้านการทำบัญชีรายรับรายจ่าย มีการทำประเมิน ROI หรืออัตราส่วนของกำไรสุทธิกับค่าใช้จ่าย พร้อมให้ทำแบบฟอร์มการบันทึกบัญชีอย่างเป็นระบบ แทนที่จะบันทึกใส่สมุดแบบเดิม และทีมเราก็เข้ามาตรวจสอบและให้คำแนะนำทุกๆ สัปดาห์

การประเมินครั้งนี้ทำให้เราทราบว่าที่ผ่านมาชาวบ้านมักไม่ใส่ต้นทุนค่าแรงและค่าใช้จ่ายส่วนตัวของตัวเองในบัญชีด้วย ส่วนใหญ่ก็คิดว่าหาหรือผลิตผลิตภัณฑ์มาได้เท่าไหร่ ขายได้กำไรเท่าไหร่ และมีค่าใช้จ่ายในการทำธุรกิจไปเท่าไหร่ ซึ่งเมื่อเราแนะนำให้ใส่ต้นทุนค่าแรงตัวเองไปด้วย ก็พบว่ากำไรที่เขาคิดว่าได้มาตลอดกลับลดลง

นั่นทำให้ชาวบ้านหันกลับไปจัดการต้นทุนตัวเองใหม่ ประกอบกับการได้องค์ความรู้เรื่องดูแลสุขภาพ พวกเขาก็มีความระมัดระวังในการทำงานมากขึ้น เพราะตระหนักดีว่าหากมีอาการบาดเจ็บหรือล้มป่วยจนต้องหยุดงาน รายได้ก็จะลดลง ซึ่งเมื่อพวกเขาตระหนักในเรื่องนี้แล้ว ก็จะทำให้การทำงานมีความรัดกุมและเป็นระบบยิ่งขึ้น ปรากฏว่าเมื่อเราทำการประเมินชาวบ้านหลังเสร็จสิ้นโครงการ ผลกำไรของพวกเขาสูงขึ้นมาด้วยจริงๆ เป็นที่พอใจของทั้งเราและชาวชุมชนอย่างมาก

นอกจากนี้เรายังได้ทำการประเมิน SROI หรือผลตอบแทนทางสังคมจากโครงการย่อยต่างๆ ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ชาวบ้านหลายคนไม่เคยคิดมาก่อน หากเมื่อผลการประเมินออกมา ก็ส่งผลบวกต่อชุมชนค่อนข้างมาก

ยกตัวอย่างเช่นผลการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในโครงการอุโมงค์ป่าโกงกาง ที่ซึ่งภายหลังที่โครงการวิจัยเข้ามาผลักดันการพัฒนาคุณภาพน้ำผึ้งและบรรจุภัณฑ์ และการพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวในรูปแบบพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต เสริมเข้ากับการทำประมงพื้นบ้านที่มีอยู่เดิม ก็พบว่ามูลค่าทรัพยากรในป่าโกงกางสูงอย่างที่ชาวบ้านไม่เคยคาดคิดมาก่อน ยังไม่รับรวมความสามารถในการกักเก็บคาร์บอนซึ่งส่งผลต่อภาพรวมในด้านสิ่งแวดล้อมของชุมชน สิ่งนี้ก็ทำให้พวกเขาตระหนักถึงคุณค่าของพื้นที่ นำมาสู่จิตสำนึกหวงแหน และการสร้างแนวทางอนุรักษ์พื้นที่ในลำดับถัดไป 

หรือการประเมินโครงการ ‘พร้าวผูกเกลอ’ ที่ทีมวิจัยลงไปสร้างเครือข่ายเพื่อยกระดับผู้ประกอบการสวนมะพร้าว จากการประเมินก่อนเริ่มโครงการ จะพบว่ายอดขายของผู้ประกอบการส่วนใหญ่ทรงตัว แต่เมื่อมีการผลักดันให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ การทำแบรนด์ การทำสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงเชื่อมผู้ประกอบการสู่การจัดจำหน่ายในช่องทางออนไลน์ เมื่อมีการประเมินหลังโครงการแล้วเสร็จ ก็พบว่าชาวบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้น อีกทั้งสวนมะพร้าวต่างๆ ยังสามารถเป็นต้นแบบการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ผู้ประกอบการรายอื่นๆ ได้อีกด้วย

แม้โครงการเมืองแห่งการเรียนรู้จะมีข้อจำกัดเนื่องจากเป็นโครงการที่ได้รับทุนจาก บพท. ในระยะเวลา 1 ปี แต่เนื่องจากทีมของเรามองเห็นถึงศักยภาพในการพัฒนาในมิติต่างๆ ของชุมชน ในฐานะนักวิจัยเราจึงพยายามเชื่อมสัมพันธ์กับคนในพื้นที่ และกระตุ้นให้นักศึกษาซึ่งเราพาพวกเขามาลงพื้นที่ด้วยทุกครั้ง มองหาแง่มุมในการทำวิจัยในพื้นที่ต่อในโอกาสต่อๆ ไป เพื่อหวังให้งานวิชาการเป็นอีกหนึ่งกลไกในการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนแห่งนี้อย่างยั่งยืนต่อไป”

นอรินี ตะหวา และหทัยรัตน์ ตัลยารักษ์
อาจารย์สาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช และนักวิจัยโครงการเมืองแห่งการเรียนรู้ปากพูน

กองบรรณาธิการ

ในปีพ.ศ.2563-2564 หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ได้สนับสนุนและผลักดันการพัฒนาเมืองในประเทศไทยเพื่อพัฒนาเมืองแห่งการเรียนรู้ (Learning City) โดยเริ่มดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมแล้วทั้งหมด 18 เมือง 20 ชุดโครงการ และ 41 ชุดโครงการย่อย