“สมัยก่อนผมเป็นนักข่าวของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ประจำจังหวัดพิษณุโลก ความที่หนังสือพิมพ์แต่ละวันมีจำนวนหน้าจำกัด และเมื่อสี่สิบกว่าปีที่แล้วยังไม่มีอินเตอร์เน็ท หลายข่าวที่ผมเขียนส่งไป บรรณาธิการไม่ได้เอาไปตีพิมพ์ ก็เลยเกิดเสียดาย ทั้งๆ ที่บางข่าวมันเป็นประโยชน์ต่อคนพิษณุโลก จึงตัดสินใจเปิดหนังสือพิมพ์เป็นของตัวเอง ชื่อว่า ประชามติ
ผมเป็นสมาชิกของสภาหนังสือพิมพ์แห่งชาติอยู่แล้ว ก็ทำเรื่องไปขออบรมผู้บริหารสื่อระดับสูง เพื่อจะได้ออกมาทำหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น โดยทำเป็นรายปักษ์ ออกทุกวันที่ 1 และ 16 ของเดือน
![](https://wecitizensthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/IMG_3901-1024x682.jpg)
ตอนแรกผมก็ทำของผมคนเดียว จนหลังๆ มีทีมงานมาช่วย โดยจ้างโรงพิมพ์เขาพิมพ์ให้ โรงพิมพ์เขาคิดเราครั้งละ 20,000 บาท จ่ายไปจ่ายมา ก็พบว่าต้นทุนสูง ถ้างั้นเราลงทุนทำโรงพิมพ์ของเราเองดีกว่า จะได้รับงานพิมพ์สิ่งพิมพ์อื่นๆ ในเมืองพิษณุโลกด้วย
ตอนนี้ทำมาสี่สิบกว่าปีแล้วครับ ผมไม่ได้ทำข่าวเองแล้ว จะมีทีมงานทำ ผมจะดูภาพรวม ถามว่ายังอยู่ได้ไหม ก็อยู่ได้นะ เราขายเล่มละ 10 บาท เดี๋ยวนี้ไม่มีโฆษณา เพราะเขาไปลงทางออนไลน์หมด แต่ยอดจำหน่ายก็ครอบคลุมกับต้นทุน แถมมีกำไรนิดหน่อย เลยทำมาได้จนถึงทุกวันนี้
แน่นอน เดี๋ยวนี้คนไม่อ่านหนังสือพิมพ์กันแล้ว เพราะข่าวสารส่วนใหญ่มันอยู่บนจอมือถือหมด แต่ความที่ประชามติมันอยู่คู่กับวิถีชีวิตคนพิษณุโลกมานาน และเราทำข่าวเกี่ยวกับชุมชน ความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวกับสังคมเมือง ไปจนถึงข่าวมรณกรรม และรายงานผลสลากกินแบ่งรัฐบาล จึงยังมีคนอ่านประจำอยู่ แต่ผมก็คิดว่าพอหมดคนอ่านรุ่นนี้ไป ก็น่าจะขายยากแล้ว
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้มันก็เป็นภาพสะท้อนของเมืองพิษณุโลกด้วย ผมจำได้ว่าสมัยก่อนเมืองเราเล็กมาก ผมโตมาในย่านอมรินทร์นคร แต่ก็เดินเท้าถึงกันหมดทั้งตลาดใต้ สถานีรถไฟ ไปจนถึงแถววัดใหญ่ ผู้คนก็รู้จักกันหมดว่าใครเป็นใคร หนังสือพิมพ์จึงมีอิทธิพลมาก แต่พอยุคสมัยมันเปลี่ยน คนต่างถิ่นเข้ามาเยอะ ลูกหลานพิษณุโลกก็ออกไปทำงานที่อื่นมาก ความสัมพันธ์แบบชุมชนเมืองดั้งเดิมเลยหายไป คนอ่านหนังสือพิมพ์ผมก็จะเหลือแต่คนที่เคยโตๆ มาด้วยกันและยังอาศัยอยู่เมืองนี้
พอได้เห็นว่าทางมหาวิทยาลัยนเรศวรพยายามเข้ามาทำโครงการฟื้นฟูตลาดใต้ผ่านเรื่องเล่าและความทรงจำของคนในย่าน ผมจึงยินดีให้ความร่วมมืออย่างมาก เพราะถึงผมไม่ได้เป็นคนตลาดใต้ แต่ผมก็เดินมาจ่ายตลาดที่นี่บ่อยๆ รวมถึงดูหนังที่โรงหนังในตลาดใต้ตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่ยังเป็นโรงหนังสำเนียงวัฒนา ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นโรงหนังศิวาลัย และเป็นโรงหนังกิตติกรในที่สุด จนเขาปิดตัว ถูกทุบทิ้ง และกลายเป็นทาวน์เฮ้าส์หลังโรงงิ้วในทุกวันนี้
![](https://wecitizensthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/IMG_3897-682x1024.jpg)
![](https://wecitizensthailand.com/wp-content/uploads/2023/05/IMG_3903-682x1024.jpg)
ผมจึงร่วมโครงการนี้ด้วยการไปบอกเล่าความทรงจำที่ผมมีกับตลาดใต้ ซึ่งก็สามารถย้อนกลับไปตั้งแต่ผมอายุแค่ 7 ขวบ และมีไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่ตลาดและทั่วเมืองพิษณุโลกเมื่อปี 2500 บ้านผมก็ไหม้กับเขาไปด้วย หรือเรื่องศาลเจ้าพ่อปุ่นเถ่ากง-ม่า ที่ผมติดตามเตี่ยมาไหว้เจ้าตั้งแต่เด็กจนถึงทุกวันนี้
ตลาดใต้เป็นตลาดแห่งแรกของเมืองพิษณุโลกนะ เพราะเมื่อก่อนความเจริญทั้งหมดของเมืองอยู่บริเวณริมน้ำน่านละแวกนี้ จนเทศบาลมาทำอาคารตลาดให้ หลายคนจึงรู้จักตลาดใต้ในชื่อ ตลาดเทศบาล 1 ก่อนที่เมืองจะขยายตัวจนมีตลาดเทศบาล 2 บริเวณวัดใหญ่ ซึ่งเป็นตลาดเหนือ จากนั้นก็มีตลาดย่านสถานีรถไฟ เรียกตลาดเทศบาล 3 และตลาดเทศบาล 4 แถวโคกมะตูม เหล่านี้สะท้อนให้เห็นความเจริญของเมืองที่ค่อยๆ ขยายไปตามย่านต่างๆ ตามลำดับ
แต่นั่นล่ะ เดี๋ยวนี้เมืองมันกระจายไปทั่ว ศูนย์กลางเดิมมันเลยมีรูปแบบแค่เชิงกายภาพ แต่ไม่ได้ถูกใช้งานหรือคึกคักอย่างที่มันเคยเป็น ซึ่งก็เข้าใจได้แหละ มันเป็นยุคสมัยที่ผ่านไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ผมก็อยากให้เทศบาลนครพิษณุโลกรวมถึงเอกชนที่เป็นเจ้าของอาคาร มาช่วยดูแลย่าน ดูแลตลาดเก่าๆ ในเมืองให้มากกว่านี้หน่อย ทำให้สาธารณูปโภคมันพร้อม ถนนหนทางสะอาด หรือเอกชนก็ช่วยเปิดอาคารทำให้มันดูมีชีวิตชีวาขึ้น เพราะถ้าพื้นฐานย่านดี และย่านมีชีวิตชีวา มันก็จะดึงดูดให้คนรุ่นใหม่ๆ เข้ามาลงทุนในย่านเก่าๆ มากขึ้น และนั่นทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นตามมา”
สุรินทร์ ชัยวีระไทย
เจ้าของหนังสือพิมพ์และโรงพิมพ์ประชามติ
ที่ปรึกษาสมาคมจีน และนายกกิตติมศักดิ์สมาคมนักเรียนเก่าสิ่นหมิน