“ผมเป็นนายกเทศมนตรีเมืองกาฬสินธุ์ครั้งแรกปี 2545 ก่อนหน้านี้ผมทำงานเป็นทนายความ ควบคู่ไปกับบริหารธุรกิจกงสีที่บ้าน ซึ่งนั่นช่วยผมในการทำงานเทศบาลได้มากเลยนะ เพราะขณะที่ผมเอาทักษะของการบริหารธุรกิจมาบริหารราชการ การเป็นทนายความก็ทำให้ผมหนักแน่นในหลักการ และตระหนักดีว่าไม่ว่าจะทำงานอะไรก็แล้วแต่ จำเป็นต้องมียุทธศาสตร์และเครื่องชี้วัด
และเพราะเหตุนี้ช่วงปีแรก ผมจึงวางยุทธศาสตร์ก่อนเลยว่าต้องทำให้กาฬสินธุ์เป็นเมืองน่าอยู่ด้วยการปรับปรุงภูมิทัศน์ให้เมืองสะอาด ควบคู่ไปกับการทำสาธารณูปโภคให้ดี น้ำไหล ไฟสว่าง และแก้ปัญหาสังคมและยาเสพติด โดยเริ่มเข้าไปแก้ปัญหาชุมชนแออัดที่รุกล้ำพื้นที่ริมน้ำปาว ซึ่งสร้างปัญหาเรื่องทัศนียภาพและสุขอนามัยให้กับเมืองมาช้านาน พร้อมไปกับการกวดขันเจ้าหน้าที่ในการเก็บขยะในพื้นที่ จนได้ทั้งรางวัลด้านความสะอาดระดับประเทศในปี 2546 รวมถึงรางวัลด้านธรรมาภิบาล 3 ปีซ้อน ตั้งแต่ปี 2547-2551 เนื่องจากแก้ปัญหาเรื่องชุมชนแออัดอย่างโปร่งใส และสร้างกระบวนการการมีส่วนร่วมระหว่างภาคประชาชนและเอกชนด้วยการจัดหาที่พักใหม่ให้ผู้คนในชุมชนที่รุกล้ำ โดยไม่ใช้งบประมาณของรัฐสักบาท
จากนั้นเทศบาลก็ส่งประกวดเรื่องการบริหารจัดการและได้รางวัลในระดับประเทศและภูมิภาคมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นหนึ่งในเครื่องชี้วัดของการพัฒนา รวมถึงการกำหนดวิสัยทัศน์ให้บุคลากรและประชาชนเข้าใจอยู่เสมอว่าเทศบาลกำลังไปในทิศทางไหน เช่น ช่วงปีแรกที่ผมกำหนดให้กาฬสินธุ์เป็น ‘เมืองน่าอยู่คู่ธรรมาภิบาล’ ทำให้ผู้คนเห็นว่าเทศบาลเราจะใช้ตัวชี้วัดเรื่องเมืองน่าอยู่ของสหประชาชาติตาม Agenda 21 (แผนแม่บทของโลกสำหรับการดำเนินงานที่จะทำให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้งในด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม) ขณะเดียวกันก็มีธรรมาภิบาล บริหารงานอย่างโปร่งใสด้วย
พอมาปี 2564 ผมได้รับเลือกตั้งเข้ามาบริหารอีกสมัย เราพิสูจน์เรื่องธรรมาภิบาลให้ทุกคนเห็นกันหมดแล้ว จึงมาเปลี่ยนวิสัยทัศน์ใหม่โดยยังยืนพื้นถึงการเป็นเมืองน่าอยู่เหมือนเดิม จึงคิดกันว่าแล้วปลายทางของการเป็นเมืองน่าอยู่คืออะไร นั่นคือการที่ผู้คนในเมืองเรามีความสุข จึงเป็นที่มาของวิสัยทัศน์ ‘เมืองอุดมสุข’
เมืองอุดมสุขที่ว่า ไม่ใช่แค่การพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสร้างบรรยากาศให้เมืองมีความพร้อมต่อการลงทุน ต่อการท่องเที่ยว รวมถึงการศึกษาเรียนรู้ ตอบโจทย์กับผู้คนทุกช่วงวัย เยาวชนอยากมาเรียนกับเรา จบมามีแหล่งงานที่พร้อมให้เขาได้ทำงานที่นี่โดยไม่ต้องเข้าไปหางานในเมืองใหญ่ ส่วนนักลงทุนก็ใช้ศักยภาพเมืองให้เป็นประโยชน์ต่อการทำธุรกิจ
ผมจึงให้ความสำคัญกับกลไกด้านพื้นที่แห่งการเรียนรู้ เพราะเมืองเรามีต้นทุนทางประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมที่มันสามารถต่อยอดด้านการท่องเที่ยวได้ดี ไม่ว่าจะเป็นตำนานเมืองฟ้าแดดสงยาง ผ้าไหมแพรวา เครื่องดนตรีโปงลาง วัฒนธรรมภูไท เป็นต้น ขณะเดียวกันก็มีมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ที่เป็น think tank ให้กับเมือง ทั้งงานวิจัยไปจนถึงการสร้างบุคลากรมาช่วยพัฒนาเมือง
และพอมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์มาเสนอเรื่องการขับเคลื่อนเมืองแห่งการเรียนรู้ ผมจึงสนับสนุนเต็มที่ เพราะการเรียนรู้ที่ว่ามันไม่ใช่แค่การพัฒนาทักษะด้านอาชีพ แต่มันคือการแปลงต้นทุนของเมืองเป็นองค์ความรู้ และให้คนกาฬสินธุ์มาเรียนรู้ เพื่อนำไปต่อยอดด้านเศรษฐกิจและยกระดับคุณภาพชีวิต
ซึ่งก็เชื่อมโยงกับสิ่งที่เทศบาลกำลังทำอยู่ ไม่ว่าจะการนำหลักสูตรท้องถิ่นของเมืองไปใช้กับโรงเรียนในสังกัด หรือการทำพื้นที่การเรียนรู้ด้านศิลปวัฒนธรรมผ่านหอศิลป์เมืองกาฬสินธุ์ และพิพิธภัณฑ์ของดีเมืองกาฬสินธุ์ การจัดกิจกรรมเผยแพร่ศิลปะการดนตรีเกี่ยวกับโปงลาง หรือการนำประวัติศาสตร์การก่อตั้งเมืองมาช่วยฟื้นฟูพื้นที่ริมลำน้ำปาว รวมไปถึงการทำประชาคมให้คนในเขตเทศบาลมาแลกเปลี่ยนกันว่าเราอยากพัฒนาเมืองในมิติอะไร หรือแก้ปัญหาตรงไหน เป็นต้น
ที่พูดมาข้างต้น นี่ยังไม่รวมผู้สูงวัยซึ่งเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ของเมืองเราด้วย กาฬสินธุ์เป็นเมืองที่มีค่าเฉลี่ยผู้สูงอายุเยอะ อาจเพราะเป็นเมืองสงบ ผู้คนจึงอายุยืน เทศบาลเราจึงใส่ใจที่จะสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อผู้สูงอายุ ให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างมีความสุข ก็มีการขับเคลื่อนเรื่องชมรมผู้สูงอายุ และจัดกิจกรรมต่างๆ ขณะเดียวกันก็มีการทำแอพพลิเคชั่นคอยมอนิเตอร์ด้านสวัสดิภาพ และสายด่วนเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ 1132 ให้บริการด้านการแพทย์ฉุกเฉินและดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง สายด่วนนี้มันไม่ใช่รับแจ้งแค่อุบัติเหตุ แต่ถ้าบ้านคุณมีคนชรา คนพิการ หรือผู้ป่วยติดเตียง ที่ต้องเดินทางไปตรวจสุขภาพหรือเข้ารับบริการทางการแพทย์ที่โรงพยาบาล ก็แค่โทรหาเรา เราก็จะมีอาสาสมัครขับรถไปรับ-ส่งให้ เป็นต้น
กาฬสินธุ์จึงเป็นเมืองอุดมสุขในวิสัยทัศน์ของผม ซึ่งหมายความถึงคนกาฬสินธุ์ทุกวัยอยู่แล้วมีความสุข มีที่อยู่อาศัย ที่พักผ่อน มีแหล่งงาน และที่พึ่ง รวมถึงทุกคนมีเงินในกระเป๋าอย่างเพียงพอและภาคภูมิใจที่ได้อยู่ในเมืองเมืองนี้”
จารุวัฒน์ บุญเพิ่ม
นายกเทศมนตรีเมืองกาฬสินธุ์
“เมืองอาหารปลอดภัยไม่ได้ให้ประโยชน์แค่เฉพาะผู้คนในเขตเทศบาลฯแต่มันสามารถเป็นต้นแบบให้เมืองอื่น ๆ ที่อยากส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้คนได้เช่นกัน” “งานประชุมนานาชาติของสมาคมพืชสวนโลก (AIPH Spring Meeting Green City Conference 2025) ที่เชียงรายเป็นเจ้าภาพเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา เน้นย้ำถึงทิศทางการพัฒนาเมืองสีเขียว…
“ทั้งพื้นที่การเรียนรู้ นโยบายเมืองอาหารปลอดภัย และโรงเรียนสำหรับผู้สูงวัยคือสารตั้งต้นที่จะทำให้เชียงรายเป็นเมืองแห่งสุขภาพ (Wellness City)” “กล่าวอย่างรวบรัด ภารกิจของกองการแพทย์ เทศบาลนครเชียงราย คือการทำให้ประชาชนไม่เจ็บป่วย หรือถ้าป่วยแล้วก็ต้องมีกระบวนการรักษาที่เหมาะสม ครบวงจร ที่นี่เราจึงมีครบทั้งงานส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค การรักษาเมื่อเจ็บป่วย และระบบดูแลต่อเนื่องถึงบ้าน…
“การจะพัฒนาเมือง ไม่ใช่แค่เรื่องสาธารณูปโภคแต่ต้องพุ่งเป้าไปที่พัฒนาคนและไม่มีเครื่องมือไหนจะพัฒนาคนได้ดีไปกว่า การศึกษา” “แม้เทศบาลนครเชียงรายจะเป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ของยูเนสโกแห่งแรกของไทยในปี 2562 แต่การเตรียมเมืองเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ว่านี้ เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นหลายสิบปี ในอดีต เชียงรายเป็นเมืองที่ห่างไกลความเจริญ ทางเทศบาลฯ เล็งเห็นว่าการจะพัฒนาเมือง ไม่สามารถทำได้แค่การทำให้เมืองมีสาธารณูปโภคครบ แต่ต้องพัฒนาผู้คนที่เป็นหัวใจสำคัญของเมือง และไม่มีเครื่องมือไหนจะพัฒนาคนได้ดีไปกว่า ‘การศึกษา’…
“ถ้าอาหารปลอดภัยเป็นทางเลือกหลักของผู้บริโภคเชียงรายจะเป็นเมืองที่น่าอยู่กว่านี้อีกเยอะ” “นอกจากบทบาทของการพัฒนาชุมชนและสังคมสงเคราะห์ กองสวัสดิการสังคม เทศบาลนครเชียงราย ยังมีกลไกในการส่งเสริมเศรษฐกิจของพี่น้อง 65 ชุมชน ภายในเขตเทศบาลฯ โดยกลไกนี้ครอบคลุมการส่งเสริมสุขภาพ และช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมในทางอ้อมด้วยกลไกที่ว่าคือ ‘สหกรณ์นครเชียงราย’ โดยสหกรณ์ฯ นี้เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2560 หลักเราคือการสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชน…
“แม่อยากปลูกผักปลอดภัยให้ตัวเองและคนในเมืองกินไม่ใช่ปลูกผักเพื่อส่งขาย แต่คนปลูกไม่กล้ากินเอง” “บ้านป่างิ้ว ตั้งอยู่ละแวกสวนสาธารณะหาดนครเชียงราย เราและชุมชนฮ่องลี่ที่อยู่ข้างเคียงเป็นชุมชนเกษตรที่ปลูกพริก ปลูกผักไปขายตามตลาดมาแต่ไหนแต่ไร กระทั่งราวปี 2548 สำนักงานเกษตรอำเภอเมืองเชียงราย มาส่งเสริมให้ทำเกษตรปลอดภัย คนในชุมชนก็เห็นด้วย เพราะอยากทำให้สิ่งที่เราปลูกมันกินได้จริง ๆ ไม่ใช่ว่าเกษตรกรปลูกแล้วส่งขาย แต่ไม่กล้าเก็บไว้กินเองเพราะกลัวยาฆ่าแมลงที่ตัวเองใส่…
“วิวเมืองเชียงรายจากสกายวอล์กสวยมาก ๆขณะที่ผืนป่าชุมชนของที่นี่ก็มีความอุดมสมบูรณ์จนไม่น่าเชื่อว่านี่คือป่าที่อยู่ในตัวเมืองเชียงราย” “ก่อนหน้านี้เราเป็นพนักงานบริษัทเอกชนที่ต่างจังหวัด จนเทศบาลนครเชียงรายเขาเปิดสกายวอล์กที่ศูนย์การเรียนรู้ชุมชนดอยสะเก็น และหาพนักงานนำชม เราก็เลยกลับมาสมัคร เพราะจะได้กลับมาอยู่บ้านด้วย ตรงนี้มีหอคอยชมวิวอยู่แล้ว แต่เทศบาลฯ อยากทำให้ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ก็เลยต่อขยายเป็นสกายวอล์กอย่างที่เห็น ซึ่งสุดปลายของมันยังอยู่ใกล้กับต้นยวนผึ้งเก่าแก่ที่มีผึ้งหลวงมาทำรังหลายร้อยรัง รวมถึงยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติบนภูเขา ในป่าชุมชนผืนนี้ จริง…