“หนูเกิดและโตที่อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี พอเรียนถึง ม.6 แม่บอกว่าที่บ้านไม่มีเงินส่งให้หนูเรียนต่อแล้ว จบ ม.6 ต้องออกมาช่วยทำงานเลย
ครอบครัวหนูทำงานรับจ้างทั่วไปค่ะ มีพี่น้องอยู่ 4 คน ไม่มีใครได้เรียนต่อเลย ไม่ใช่ว่าไม่อยากช่วยพ่อแม่ทำงานหาเงินนะ แต่หนูคิดว่าถ้าได้เรียนต่ออย่างน้อยระดับปริญญาตรี การศึกษาจะทำให้เรามีโอกาสได้ทำงานที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตครอบครัวได้ ซึ่งก็พอดีกับที่หนูเคยร่วมกิจกรรมของกลุ่มลูกเหรียง (สมาคมเด็กและเยาวชนเพื่อสันติภาพชายแดนใต้) ทราบว่าทางกลุ่มมีโครงการมอบทุนการศึกษาให้แก่เยาวชนที่ขาดโอกาส หนูเลยเขียนจดหมายไปขอทุนการศึกษา
หนูสอบติดคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา วันแรกที่ได้รับทุน ยังเป็นครั้งแรกที่หนูเดินทางออกจากบ้านเกิดมาอยู่ยะลา และความที่เราไม่มีญาติอยู่ที่นี่เลย จึงอาศัยที่บ้านลูกเหรียงและอยู่ที่นี่จนเรียนจบ
หลังเรียนจบหนูได้รับเสนองานเป็นผู้ช่วยอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย แต่แม่ชมพู่ (วรรณกนก เปาะอีแตดาโอะ) ผู้ก่อตั้งบ้านลูกเหรียง ชวนให้หนูมาทำงานต่อที่นี่ ความที่หนูผูกพันกับที่นี่เหมือนครอบครัว อีกทั้งเราได้เรียนรู้กระบวนการทำค่ายและกิจกรรมต่างๆ จากลูกเหรียงอยู่แล้ว และเห็นว่าเราสามารถเป็นฟันเฟืองขับเคลื่อนเพื่อส่งต่อสิ่งดีๆ แก่เด็กๆ ได้ ก็เลยตัดสินใจทำงานต่อ
ที่นี่มีน้องๆ ที่รับทุนและใช้ชีวิตที่นี่ 24 คน มีเจ้าหน้าที่ 11 คน แต่ละคนก็จะมีโครงการที่ต้องดูแลแตกต่างกันออกไป อย่างหนูรับผิดชอบเป็นผู้จัดการโครงการอาหาร และดูแลโครงการอื่นๆ ที่กลุ่มลูกเหรียงได้รับทุนสนับสนุนมา เช่น โครงการ มิตรผลสร้างสรรค์ เยาวชนสร้างศิลป์ ที่ได้รับทุนจากน้ำตาลมิตรผล เป็นโครงการที่เชิญอาจารย์สอนศิลปะและศิลปินมาสอนศิลปะแก่เด็กๆ ในอำเภอเบตง
ส่วนเหตุผลที่ได้เป็นผู้จัดการโครงการอาหาร ก็เพราะสมัยที่หนูยังเรียนหนังสือ หนูจะชอบไปช่วยพี่ๆ เขาทำอาหารค่ะ จากที่อาสาไปช่วยทำอาหารแล้วสนุก พี่ชมพู่มาเห็นว่าเราสนใจ เลยส่งหนูไปเรียนคอร์สเป็นบัตเลอร์ที่กรุงเทพฯ ต่อ ที่นี่ดีตรงนี้คือ ถ้าเด็กคนไหนมีแววอะไร พี่ชมพู่จะส่งเสริมให้ไปเต็มที่ พอเรียนจบมาก็ช่วยกับพี่แอลลี่ (อิสมาแอ ตอกอย) ทำโครงการเชฟส์เทเบิล เป็นธุรกิจเสริมของกลุ่ม รวมถึงทำผลิตภัณฑ์อาหารขายเพื่อหารายได้เข้ากลุ่ม
นอกจากได้เรียนต่อและมีงานทำ หนูคิดว่าสิ่งสำคัญที่ได้จากที่นี่เลยคือการที่เรามีสำนึกของการเป็นผู้ให้ พี่ๆ เขาจะไม่มาพร่ำบอกหรือสอนว่าเราต้องแบ่งปันหรือเสียสละให้คนอื่น แต่เขาจะทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง ปลูกฝังให้เรารู้จักการมีส่วนร่วมและช่วยเหลือกันและกัน ซึ่งทำให้เราตระหนักได้เองว่า ที่เราได้รับทุนการศึกษานี้มาได้ก็เพราะมีคนอื่นเขามอบให้ เราจะไม่เป็นผู้รับฝ่ายเดียว แต่ต้องนำความรู้และความสามารถส่งต่อให้คนอื่น หรือทำประโยชน์ให้ส่วนรวม ซึ่งตรงนี้ก็เป็นอีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้หนูทำงานกับที่นี่ต่อ เพราะอยากมีส่วนช่วยเหลือเด็กๆ ที่เคยขาดโอกาสเหมือนหนู ให้เข้าถึงโอกาสที่จะทำให้ชีวิตเราดีขึ้นได้
หนูคิดว่าความงดงามของการให้ คือการที่ผู้รับรับบางสิ่งมาอย่างรู้คุณค่า และหาวิธีส่งต่อให้ผู้อื่นเป็นทอดๆ อย่างนี้ไม่สิ้นสุด”
จัสมานีย์ เจ๊ะโกะ
เจ้าหน้าที่โครงการอาหารกลุ่มลูกเหรียง
https://www.facebook.com/luukrieangse/