“หนูสอบได้แค่ที่สองค่ะ”
สาวน้อยวัย 9 ขวบตอบพร้อมๆ กับที่น้ำใสเริ่มปริ่มขอบตา ถึงแม้ฉันจะบอกว่าได้ที่สองก็ยังดีกว่าเพื่อนคนอื่นๆ อีกตั้งมากมาย
แต่น้ำใสๆ ที่หยาดลงอาบแก้มก็บอกฉันว่าเพื่อนอีกเกือบ 40 คนนั้นไม่มีความหมายเพราะสายตาของเธอเห็นแต่คนที่ได้ที่หนึ่งเพียงคนเดียว…
นี่เป็นเพียงหนึ่งในหลายๆ เหตุการณ์ที่บอกฉันว่าเด็กๆ เห็นความสำคัญของชัยชนะและการได้เป็นที่หนึ่งเพียงไร และบนเส้นทางไปสู่ชัยชนะนั้น เด็กหลายคนทุ่มเททุกวิถีทางถึงแม้จะต้องเล่นขี้โกง แอบดูคำตอบหรือปัดแข้งปัดขาเพื่อน ทำอย่างไรก็ได้ ขอให้ชนะก็แล้วกัน
สังคมเราปลูกฝังให้รังเกียจ “คนขี้แพ้” และมักลืมไปว่าความพ่ายแพ้หรือความล้มเหลวนั้น
ความจริงให้บทเรียนที่มีค่าแก่เราหลายอย่าง มันช่วยให้เราเห็นจุดอ่อนและช่องโหว่ของตัวเราเองที่ควรแก้ไขปรับปรุง มันสอนให้เราเรียนรู้ว่าถึงแม้จะล้มไปในวันนี้ ก็ยังลุกขึ้นใหม่ได้ในวันหน้า พร้อมๆ กับฝึกให้เราแข็งแกร่งขึ้น ฉันพบว่าคนที่ให้ความสำคัญและเคยชินกับการที่ “ต้อง” ชนะเสมอนั้น เมื่อไม่ประสบความสำเร็จเข้าสักครั้งหัวใจมักเปราะบางและพร้อมจะแตกรานร้าวได้อย่างง่ายดาย
ที่สำคัญวันที่เราแพ้มักเป็นวันที่เราได้เรียนรู้น้ำใสใจจริงของคนรอบๆ ตัวว่ารักใคร่เราเพียงไร ยามที่เราชนะ ยามที่เราประสบความสำเร็จ ผู้คนมักพากันมาห้อมล้อมยินดี โดยที่เราแทบไม่มีทางรู้เลยว่าพวกเขาเหล่านั้นหวังอะไรจากเราหรือเปล่า วันที่เราล้มเหลวต่างหากที่เราจะได้ “เห็น” ส่วนลึกของหัวใจเขาว่าใครบ้างที่คบหาเป็นเพื่อนกับเราด้วยใจจริง ใครบ้างที่เราจะวางใจได้ว่าเขาจะอยู่เคียงข้างเราเสมอ
แต่สักกี่คนที่จะตระหนักถึงคุณค่าของความพ่ายแพ้และล้มเหลว ฉันจึงพบว่าพ่อแม่มากมายยังคงสอนลูกให้วิ่งตะบึงไปบนเส้นทางสู่ชัยชนะไม่ว่าจะแลกมาด้วยอะไรก็ตาม ฉันพยายามบอกเด็กๆ เสมอว่าชัยชนะที่ได้มาด้วยวิธีสกปรกนั้นมันไร้ศักดิ์ศรีและไม่มีเกียรติ ต่อให้ชนะ ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าภาคภูมิใจแต่ควรเป็นเรื่องที่น่าอับอายมากกว่า แต่ไม่ว่าจะเพียรปลูกฝังให้เขารู้สึกละอายต่อชัยชนะที่ได้มาอย่างไม่ถูกต้องเพียงไร เด็กๆ หลายคนก็ยังคงยึดติดกับรสชาติอันหอมหวานของชัยชนะและมีตะกอนขุ่นมัวในใจเมื่อพ่ายแพ้
ฉันจึงเห็นเด็กแอบโกงด้วยวิธีต่างๆ อยู่เสมอเวลาทำข้อสอบถึงแม้ว่าจะเป็นการสอบที่ห้องสมุดซึ่งไม่มีผลใดๆ ต่อคะแนนสอบในโรงเรียนของเขาเลย ฉันพยายามบอกพวกเขาว่าถ้าแอบดูบทเรียน ป้าก็จะไม่รู้ว่าหนูไม่รู้ ก็จะไม่ตอกย้ำบ่อยๆ เพื่อช่วยให้หนูเก่งขึ้น การโกงที่ทำอยู่จึงเท่ากับเป็นการโกงตัวเอง แต่กว่าจะสอนให้เด็กส่วนใหญ่เข้าใจได้ก็ใช้เวลาหลายเดือนและบางคนก็
ยังอยากได้ที่หนึ่งมากกว่าความรู้อยู่ดี
แต่จะเป็นอื่นไปได้อย่างไรในเมื่อสังคมรอบตัวล้วนหล่อหลอมให้เขาคุ้นเคยกับการแข่งขันที่ผู้ชนะได้รับความชื่นชม ในขณะที่ผู้แพ้ นอกจากจะไม่ได้อะไรแล้ว ยังอาจถูกต่อว่าและได้รับการเยาะเย้ยดูถูก แม้แต่ในวงการกีฬาที่ควรจะฝึกให้ “รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย” นักกีฬาก็ยังถูกสอนให้มองฝ่ายตรงข้ามเป็นคู่ต่อสู้ที่ต้องห้ำหั่นเอาชนะให้ได้ในทุกวิถีทาง และ..ที่แย่ยิ่งกว่านั้น…ยังมักถูกฝึกว่าจะโกงได้อย่างไรโดยไม่ถูกกรรมการลงโทษอีกด้วย!
ฉันถูกเลี้ยงมาให้ให้ความสำคัญกับการเคารพตัวเองและเชื่อว่าหนึ่งในวิถีทางที่จะนำไปสู่การเรียนรู้ที่จะเคารพตัวเองอย่างแท้จริงนั้น เด็กๆ จะต้องเรียนรู้ที่จะรู้จักภูมิใจแต่ในสิ่งที่ควรค่าแก่ความภาคภูมิใจ ในสายตาของฉัน ชัยชนะเป็นเพียงผลพลอยได้
ความพยายามต่างหากที่เป็นสิ่งที่ควรภูมิใจ การที่ได้รู้สึกว่าเราได้พยายามอย่างเต็มกำลังแล้วคือชัยชนะที่แท้จริง ไม่ว่าผลสุดท้ายของความพยายามนั้นจะออกมาอย่างที่หวังไว้หรือไม่ก็ตาม
ฉันรู้ว่ามันยากที่จะปลูกฝังความคิดนี้ให้กับเด็กท่ามกลางบรรยากาศทางสังคมในปัจจุบัน แต่ฉันก็ยังขอยืนยันและยังจะพยายามต่อไปที่จะสอนเด็กๆ ว่า ถ้าเราให้ความสำคัญกับความพยายามมากกว่าความสำเร็จ คู่ต่อสู้ที่แท้จริงของเราก็คือตัวเราเอง…
และเราจะมีโอกาสชนะเสมอ..
แม้ว่าบางครั้ง..หรืออาจจะบ่อยครั้ง…
ชัยชนะนั้นอาจจะถูกมองว่าเป็นชัยชนะของผู้แพ้ก็ตาม
“หอโหวดเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่หลังจากนี้คือกลไกที่เทศบาลต้องทำงานร่วมกับภาคประชาชนและนักวิชาการ ในการกำหนดทิศทางเมืองให้ร้อยเอ็ดพร้อมรับการท่องเที่ยว และทำให้เมืองมีความน่าอยู่ สำหรับผู้คนในเมืองพร้อมกันไปด้วย” “เราเกิดที่ร้อยเอ็ด เรียนมัธยมที่นี่ ก่อนไปเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ ก่อนหน้านี้ สักเกือบ 10 ปีที่แล้ว เราไม่เคยมีความคิดจะกลับมาทำงานที่บ้านเกิดเลยนะ เพราะไม่เห็นโอกาสอะไรในชีวิตในภาพจำเดิมของเรา ร้อยเอ็ดเป็นเมืองผ่าน ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อ ไม่มีแหล่งธรรมชาติสวยๆ…
ชวนอ่าน เบื้องหลังแนวคิดการขับเคลื่อนงานพัฒนาเมืองด้วยงานวิจัย องค์ความรู้ และนวัตกรรม ความร่วมมือ และบูรณการระหว่าง บพท. และสมาคมเทศบาลนครและเมือง ก่อเกิดโครงการ "โปรแกรมบ่มเพาะและเร่งรัดกระบวนการเพื่อมุ่งสู่เมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด (CIAP) ดำเนินการระหว่างปีพ.ศ. 2567-2568 กับผู้นำเมือง และเทศบาล…
WeCitizens : ร้อยเอ็ดเมืองน่าอยู่อย่างชาญฉลาด (ฉบับที่ 1) เปิดความคิด ความหวัง และโอกาสของการพัฒนาเมืองร้อยเอ็ดที่รัก นำโดยนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด คุณบรรจง โฆษิตจิรนันท์ คณะทำงานเจ้าหน้าที่เทศบาล และหัวหน้าโครงการวิจัยร้อยเอ็ดเมืองน่าอยู่อย่างชาญฉลาด ผศ. ดร.ชัญญรินทร์…
ร้อยเอ็ดอยู่ห่างจาก ‘สะดืออีสาน’ พื้นที่ที่ถูกปักหมุดให้เป็นจุดศูนย์กลางของภาคอีสานในอำเภอโกสุมพิสัย มหาสารคาม เพียง 60 กิโลเมตร ในตำนานอุรังคธาตุ (ตำนานพระธาตุพนม) กล่าวว่า ‘สาเกตนครร้อยเอ็ดประตู’ (ชื่อเดิม) เมืองนี้ มีประตูเท่าจำนวนเมืองขึ้น ‘ร้อยเอ็ดเมือง’ สะท้อนให้เห็นความรุ่งเรืองจากการเป็นศูนย์กลางอำนาจและการคมนาคมของภูมิภาคมาตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 21อีกทั้ง ส่วนหนึ่งของพื้นที่ยังเป็นที่ตั้งของทุ่งกุลาร้องไห้ ที่ราบขนาดใหญ่กว่า 2 ล้านไร่ ทำให้ในเวลาต่อมา ร้อยเอ็ดจึงเป็นอู่ข้าวที่ผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาที่ใหญ่ และมีผลิตผลที่ดีที่สุดในโลก แม้มีภูมิหลังที่รุ่งเรือง กระนั้น ตลอดหลายทศวรรษหลัง…
สนทนากับ ผศ.ดร.ชัญญรินทร์ สมพรหัวหน้าโครงการวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด ‘ร้อยเอ็ด’, สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด “พื้นที่นี้จะเป็นเหมือนตัวกลางในการสร้างความพร้อมให้คนร้อยเอ็ดสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต” ผศ. ดร.ชัญญรินทร์ สมพร รองผู้อํานวยการสํานักส่งเสริมวิชาการและจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด และหัวหน้าโครงการวิจัย "โครงการเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด ร้อยเอ็ดคนดี เชื่อมโยงโครงข่ายเศรษฐกิจ ด้วยการเดินบนความปลอดภัยและทันสมัย…
"เราให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงเศรษฐกิจให้ร้อยเอ็ดเป็นทางเลือกใหม่ของตลาด MICE ที่ราคาย่อมเยา เดินทางสะดวก และมีอัตลักษณ์" เริ่มจากความคับข้องใจที่เห็นบ้านเกิดของตัวเอง (ร้อยเอ็ด) เป็นเมืองผ่านที่มักถูกมองข้าม เมื่อ บรรจง โฆษิตจิรนันท์ เข้ารับตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองร้อยเอ็ด เมื่อปี 2538 เขาจึงเริ่มโครงการพัฒนาเมือง ไปพร้อมกับการดึงเสน่ห์จากศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ดึงดูดให้ผู้คนมาเที่ยว…