“ผมเกิดที่ยะลา เรียนโรงเรียนคณะราษฎรบำรุงจนถึง ม.6 แล้วไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่อื่น สมัยที่ผมเรียนที่นี่ ชั้นเรียนของผมครึ่งหนึ่งเป็นคนพุทธ อีกครึ่งเป็นคนมุสลิม แต่เราเป็นเพื่อนกันหมด หรือกระทั่งครอบครัวผมที่เป็นคนเชื้อสายจีน ยายและแม่ของผมก็ค้าขายกับคนมุสลิมจนสนิทสนมเป็นเพื่อนฝูงกันมาตลอด แต่ไหนแต่ไร คนยะลาอยู่มาแบบนี้ กระทั่งวันหนึ่งจู่ๆ ทั้งรัฐและสื่อต่างๆ ก็มาบอกว่าเราไม่เหมือนกัน จากนั้นเหตุการณ์ความไม่สงบช่วงปี 2547 ก็มาซ้ำสถานการณ์ ช่องว่างของความแตกต่างจึงถูกถ่างออกไปใหญ่
ในโครงการเมืองแห่งการเรียนรู้ยะลา ผมทำโครงการย่อยที่ชื่อว่าโครงการยะลาศึกษา: ความหลากหลายของผู้คน ชุมชน และวัฒนธรรม เพื่อรวบรวมองค์ความรู้และทักษะของการอยู่ร่วมกันของผู้คน สะท้อนออกมาเป็นฐานข้อมูลในการสร้างสรรค์กิจกรรมการเรียนรู้ของเยาวชนในยะลา ผมมองว่าการที่คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ต้นทุนของเมืองและความเป็นพหุวัฒนธรรมในเมืองนี้ เมื่อบวกรวมกับการมีทักษะทางวัฒนธรรมในการไปต่อยอดต้นทุนสู่สิ่งอื่นๆ ตรงนี้แหละคือ soft power ที่ไม่เพียงจะทำให้ช่องว่างทางเชื้อชาติหรือศาสนาจะกลับมาประสานกันได้ดีเหมือนเดิม แต่ยังจะช่วยยกระดับทางเศรษฐกิจของพื้นที่ ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ต่อไป
ผมสโคปพื้นที่ทำวิจัยอยู่ในเขตเทศบาลเมืองยะลา ศึกษาจากเอกสาร งานวิจัย และสัมภาษณ์ผู้คนที่เป็นเจ้าของวัฒนธรรมรอบด้าน ทั้งด้านศาสนา อาหารการกิน เครื่องแต่งกาย ภาษา และอื่นๆ เราสกัดองค์ความรู้ สังเคราะห์ และหาเครื่องมือที่ทำให้ผู้คนในเมืองเข้าใจในวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ซึ่งแน่นอน อย่างที่บอกว่าแต่ไหนแต่ไรคนยะลาอยู่ร่วมกันมาโดยไม่ได้มีเส้นแบ่งทางศาสนา พวกเขาจึงมีทักษะในการอยู่ร่วมกันเป็นต้นทุนอยู่แล้ว แต่การสกัดข้อมูลในโครงการนี้ เราก็พบหลายสิ่งที่เป็นเครื่องมือสะท้อนความเป็นพหุวัฒนธรรมอย่างน่าสนใจ แต่หลายคนอาจไม่ทราบมาก่อน
เช่นศาลหลักเมืองที่คนยะลาขับรถผ่านทุกวัน เมื่อพิจารณาทั้งสถาปัตยกรรมและองค์ประกอบต่างๆ เราจะเห็นถึงการผสมผสานของความเป็นพุทธ พราหมณ์ และความเชื่ออื่นๆ ซึ่งหลายสิ่งก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับวิถีของคนที่นี่แม้แต่น้อย ทั้งยังสะท้อนถึงอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากส่วนกลางอีกด้วย หรือวัดถ้ำ (วัดคูหาภิมุข) ที่เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวของเมือง มีรูปปั้นยักษ์เก่าแก่ที่มีผมหยิกแบบชาวโอรังอัสลี หากเครื่องประดับของยักษ์ก็เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ของชาติพันธุ์ที่แตกต่างกัน สิ่งนี้สะท้อนกลับมาที่ความเป็นพหุวัฒนธรรมของคนยะลาอย่างเห็นได้ชัด การสกัดสัญลักษณ์เหล่านี้ออกมาเป็นข้อมูล มันก็ช่วยเสริมการท่องเที่ยวให้ผู้คนที่มาเยือนได้รู้ได้เข้าใจบริบทของเมืองเพิ่มขึ้นมาด้วย
ทั้งนี้ หลังจากเราถอดองค์ความรู้จากที่ต่างๆ ในเมืองแล้ว ทางโครงการก็ทำงานร่วมกับเยาวชนต่อ เพื่อผลักดันให้พวกเขาเองเป็นคนสร้างความรู้ เป็นผู้บอกเล่าวิถีและวัฒนธรรมแก่คนอื่นๆ ต่อไป ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ น้อยอย่างประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ไปจนถึงอาหารการกิน โดยรูปธรรมของกิจกรรมนี้คือการร่วมกับเยาวชนในยะลาจัดนิทรรศการ ‘ยะลาสตอรี่’ (Yala Stories) เมื่อช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
ยะลาสตอรี่เป็นทั้งเทศกาล นิทรรศการ และการออกร้านที่สะท้อนเรื่องราวร่วมสมัยของเมืองยะลา ทีมนักวิจัยเรามีบทบาทเหมือนพี่เลี้ยงเยาวชนที่เป็นคนจัดงานนี้ขึ้น พวกเขาเป็นคนเลือกประเด็นในการนำเสนอด้วยตัวเอง โดยการกลับไปคุยกับคนเฒ่าคนแก่ รวบรวมข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์และภูมิปัญญา ทำแผนที่ทางวัฒนธรรม และกลั่นกรองออกมาเป็นเนื้อหานิทรรศการต่างๆ ในงาน
นิทรรศการนี้ไม่เพียงได้รับผลตอบรับที่ดีจากคนยะลา เพราะมันไม่ได้เล่าแค่มุมมองของคนรุ่นใหม่ แต่ยังเป็นการหยิบเอาเรื่องราวของคนรุ่นเก่าและรากเหง้าทางวัฒนธรรมมานำเสนอเชื่อมโยงให้เห็นถึงทิศทางของการพัฒนาเมืองในอนาคต ซึ่งตรงนี้แหละคือจุดเปลี่ยนจาก soft power ในเชิงต้นทุนทางวัฒนธรรม ไปสู่การยกระดับทางเศรษฐกิจของเมืองในอนาคต”
รองศาสตราจารย์ ฤทธิรงค์ จิวากานนท์
ผู้อำนวยการสถาบันไทยศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
และนักวิจัยในโครงการยะลาเมืองแห่งการเรียนรู้
พลังคน พลังโคมลำพูน: เมืองเล็ก ๆ ที่เปี่ยมไปด้วยพลังสร้างสรรค์ แม้ ดร.สุดารัตน์ อุทธารัตน์ เป็นคนเชียงใหม่ เธอก็หาใช่เป็นคนอื่นคนไกลสำหรับชาวลำพูนเพราะก่อนจะเข้ามาขับเคลื่อนงานวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาดกับเทศบาลเมืองลำพูน เธอได้ทำวิจัยเกี่ยวกับเมืองแห่งนี้มาหลายครั้ง โดยเฉพาะโครงการขับเคลื่อนเยาวชนเพื่อเตรียมพร้อมสู่การเป็นพลเมืองของเมืองแห่งการเรียนรู้ของ UNESCO ในปี 2566-2567 - นั่นล่ะ…
“เป็นสิ่งวิเศษที่สุด ที่ผ้าไหมของจังหวัดลำพูนได้ปรากฏต่อสายตาผู้คนทั้งในและต่างประเทศ ทั้งเมื่อครั้งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงให้การส่งเสริม และทรงฉลองพระองค์ด้วยผ้าไหมยกดอกลำพูนในพระราชพิธีสำคัญต่าง ๆ และกระทั่งในปัจจุบัน สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 10 ก็ทรงส่งเสริมผ้าไหมไทย และฉลองพระองค์ด้วยผ้าไหมยกดอกลำพูนในพระราชพิธีสำคัญเช่นกัน ดิฉันเป็นคนลำพูน มีความภูมิใจในงานหัตถศิลป์การทอผ้าไหมยกดอกนี้มาก ๆ และตั้งใจจะรักษามรดกทางวัฒนธรรม ทำหน้าที่ส่งต่อถึงคนรุ่นต่อไป…
“ความที่โตมาในลำพูน เราตระหนักดีว่าเมืองเรามีต้นทุนทางวัฒนธรรมที่สูงมาก ทั้งยังมีบรรยากาศที่น่าอยู่ อย่างไรก็ดี อาจเพราะเป็นเมืองขนาดเล็ก ลำพูนมักถูกมองข้ามจากแผนการพัฒนาของประเทศ เป็นเหมือนเมืองที่มีศักยภาพ แต่ยังไม่ถูกปลุกให้ตื่นความที่เราเคยทำงานที่ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (ปัจจุบันคือสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA - ผู้เรียบเรียง) ได้เห็นตัวอย่างความสำเร็จของกระบวนการพัฒนาย่านด้วยกรอบพื้นที่สร้างสรรค์ในหลายพื้นที่…
“ผมเป็นคนลำพูน และชอบทำกิจกรรมนอกห้องเรียนมาตั้งแต่เด็ก ปัจจุบันเป็นประธานสภาเด็กและเยาวชนจังหวัดลำพูน ควบคู่ไปกับกำลังศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่จากประสบการณ์การทำงานในสภาฯ ทำให้ผมเห็นว่า เยาวชนลำพูนมีศักยภาพที่หลากหลาย แต่สิ่งที่ขาดไปคือเวทีที่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสดงความสามารถและพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากการสนับสนุนจากโรงเรียนหรือโครงการของภาคเอกชน ปี 2567 พี่อร (ดร.สุดารัตน์ อุทธารัตน์…
“อาคารหลังนี้แต่ก่อนเป็นที่ประทับของเจ้าราชสัมพันธวงษ์ลำพูน (พุทธวงษ์ ณ เชียงใหม่) น้องเขยของเจ้าจักรคำขจรศักดิ์ เจ้าหลวงองค์สุดท้ายของลำพูน อาคารถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 2455 หลังจากนั้นก็ถูกขายให้พ่อค้าชาวจีนไปทำเป็นโรงเรียนหวุ่นเจิ้ง สอนภาษาจีนและคณิตศาสตร์ โรงเรียนนี้เปิดได้ไม่นานก็ต้องปิด เพราะสมัยนั้นรัฐบาลเพ่งเล็งว่าอะไรที่เป็นของจีนจะเกี่ยวข้องกับลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่หนูก็ไม่รู้หรอกว่าโรงเรียนนี้เกี่ยวข้องหรือเปล่า (ยิ้ม) จากนั้นอาคารก็ถูกเปลี่ยนมาเป็นโรงเรียนมงคลวิทยาในปี…
“เราโตมากับวัฒนธรรมของคนลำพูน ชอบไปเดินงานปอย ร่วมงานบุญ ก่อนหน้านี้ก็เคยทำงานรับจ้างทั่วไป จนเทศบาลฯ มาส่งเสริมเรื่องการทำโคม โดยมีสล่าจากชุมชนศรีบุญเรืองมาสอน เราก็ไปเรียนกับเขา ตอนนี้อาชีพหลักคือการทำโคม ทำมาได้ 2 ปีแล้ว สำหรับเรา โคมคืองานศิลปะ เป็นสัญลักษณ์และมรดกที่ยึดโยงกับวัฒนธรรมของคนบ้านเรา ตอนแรกเราไม่มีความคิดเลยว่ามันจะกลายมาเป็นอาชีพได้…