หากผู้เฒ่าผู้แก่ในย่านไม่บอก เราก็อาจไม่รู้ว่าอันที่จริงลำคลองน้อยๆ ที่ตึกแถวในย่านพากันหันหลังให้ในย่านยมจินดา แต่เดิมคือทางสัญจร และเส้นเลือดหลักในการค้าของเมืองระยอง
นั่นคือเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว เมื่อความเจริญยังไม่ชักพาให้รถราวิ่งบนท้องถนน แม่น้ำจึงเป็นทางคมนาคมหลักที่เชื่อมพ่อค้าจากที่ต่างๆ ทั่วภูมิภาคล่องเรือจากอ่าวไทยสู่ปากแม่น้ำระยอง มาทอดสมอทำการค้าในย่านแห่งนี้
กระทั่งมาถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ในปี พ.ศ. 2443 ถนนยมจินดา ถนนสายแรกระยะทางราว 700 เมตรของระยอง ซึ่งตั้งชื่อตามนามสกุลของเจ้าเมืองระยองคนสุดท้าย (เกตุ ยมจินดา) ก็ถูกตัดขึ้น ถนนสายที่แล่นผ่านใจกลางเมืองและวางตัวขนานกับแม่น้ำระยองสายนี้ เปลี่ยนภูมิทัศน์เมืองระยองไปอย่างน่าสนใจ จากทิวบ้านที่หันหน้าเข้าหาแม่น้ำ ก็ถูกเคลื่อนย้าย (ทั้งวิธีการดีดและงัดบ้าน) กลับหลังหันเข้าหาถนน จากแม่น้ำสายสำคัญ ก็ถูกเปลี่ยนเป็นคลองหลังบ้าน และจุดเริ่มต้นของถนนยมจินดาในฐานะถนนสายประวัติศาสตร์ของเมืองก็เริ่มต้นขึ้น
หากระยองเป็นเมืองที่มีรายได้ต่อหัวหรือ GDP สูงที่สุดในประเทศในปัจจุบัน ย้อนกลับไปเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว ถนนยมจินดาก็เป็นถนนที่เต็มไปด้วยคหบดีที่ร่ำรวยในระดับที่ว่าเป็นศูนย์กลาง GDP ของเมือง อาคารพาณิชย์ที่เรียงรายตลอดสองข้างทางอัดแน่นไปด้วยร้านค้า ธนาคาร ร้านทอง อู่ต่อเรือ โรงภาพยนตร์ โรงสี ไปจนถึงโรงฝิ่น รวมถึงบ้านพักอาศัยของทั้งชาวระยองและชาวจีนที่มาตั้งรกราก ก่อนจะเป็นบรรพบุรุษของชาวไทยเชื้อสายจีนหลากตระกูลในระยอง ณ ปัจจุบัน
แน่นอนที่ว่าเมื่อกระแสของเวลา ความเจริญจึงกระจายตัวไปทั่วเมือง ความรุ่งเรืองของยมจินดาจึงเหลือเพียงความทรงจำที่บอกเล่าจากรุ่นสู่รุ่น กระนั้นหลักฐานแห่งอดีตก็ยังคงหลงเหลืออยู่ผ่านสถาปัตยกรรมอันงดงาม ตระหง่านเป็นมรดกสำคัญของเมืองมากกว่าศตวรรษ
หลักฐานที่ไม่เพียงบ่งชี้ถึงความรุ่งโรจน์ในอดีต แต่ยังเป็น ‘ต้นทุน’ สำคัญของการพัฒนาระยองในแง่มุมของศิลปวัฒนธรรม วิถีชุมชน และการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ของระยองในอนาคต และเหล่านี้เป็นเพียงบางส่วน
บ้านเจ้าเมือง ต้นตระกูลยมจินดา
บ้านไม้สีฟ้าริมแม่น้ำระยองหลังนี้เคยเป็นที่พักและที่ทำการของของพระยาศรีสมุทรโภคชัยโชคชิตสงคราม (เกตุ ยมจินดา) เจ้าเมืองระยองคนสุดท้าย ต้นตระกูลยมจินดา และนักพัฒนาผู้ริเริ่มให้มีการตัดถนนสายแรกสายนี้ ปัจจุบันทายาทตระกูลยมจินดา เปิดบ้านหลังนี้เป็นทั้งพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อมที่จัดแสดงสารพัดข้าวของเครื่องใช้ในยุคเก่าก่อน รวมถึงเป็นร้านอาหารต้นตำรับระยอง
บ้านบุญศิริ
บ้านบุญศิริถูกสร้างขึ้นพร้อมบ้านเจ้าเมืองเมื่อปี 2474 เป็นบ้านคอนกรีตสูงสองชั้นที่ถือว่าทันสมัยที่สุดเมื่อศตวรรษที่แล้ว เนื่องจากนำรูปแบบก่อสร้างมาจากบ้านในกรุงเทพฯ บ้านหลังนี้เดิมเป็นของทายาทเกตุ ยมจินดา เจ้าเมืองระยองคนสุดท้าย ซึ่งสมรสกับ พูน บุญศิริ อดีตนายกเทศมนตรีเมืองระยอง และนั่นจึงเป็นที่มาของชื่อ ‘บ้านบุญศิริ’ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กับบ้านเจ้าเมือง
ตึกกี่พ้ง (หลานเอกคอฟฟี่เฮาส์)
ตึกกี่พ้งเป็นอาคารสไตล์ตะวันตกรูปแบบชิโน-โปรตุกีสหลักแรกของเมืองระยอง สร้างขึ้นเมื่อปี 2456 โดย กี่พ้ง แซ่ตั๋น เศรษฐีจากภาคใต้ที่มาทำธุรกิจในระยอง สมัยก่อนเคยเป็นร้านจำหน่ายพริกไทยและเสื้อผ้านำเข้าจากเมืองจีน ต่อมาทายาทได้อนุรักษ์บ้านหลังนี้ไว้อย่างดี และต่อยอดเป็น ‘หลานเอกคอฟฟี่เฮาส์’ หนึ่งในคาเฟ่ระดับแลนด์มาร์คของเมือง
บ้านมาลีวณิชย์
บ้านมาลีวณิชย์เป็นมาสเตอร์พีชของการสร้างอาคารไม้แบบโบราณ ทั้งการกั้นผนังด้วยไม้ฝาแบบบานเกล็ด และเป็นประตูแบบบานเฟี้ยม อันเป็นลักษณะดั้งเดิมของร้านค้าชาวจีนมาตั้งแต่อดีต หากยังมีความโมเดิร์นด้วยการใช้กระเบื้องโมเสกจากอิตาลีปูพื้น ซึ่งปัจจุบันยังคงเก็บรักษาพื้นเดิมไว้อยู่ ปัจจุบันบ้านนี้เป็นร้านขายหนังสือและหมอน
พิพิธภัณฑ์เมืองระยอง (บ้านสัตย์อุดม)
ก่อนจะเป็นพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องเก่าก่อนผ่านรูปถ่ายและโบราณวัตถุของเมืองระยอง บ้านหลังนี้เคยเป็นของขุนศรีอุทัยเขตร์ ขุนนางผู้เป็นเจ้าของโรงสี โรงหนัง และอู่ต่อเรือ บ้านไม้สองชั้นหลังนี้มีจุดเด่นคือช่องลมที่มีลวดลายฉลุแบบจีนไว้ ซึ่งยังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างสมบูรณ์
ศาลเจ้าแม่ทับทิม
ก่อตั้งมาตั้งแต่ก่อนจะมีถนนยมจินดา (พ.ศ. 2421) ศาลเจ้าแม่ทับทิม หรือศาลตุ้ยบ้วยเนี่ย เป็นที่ประดิษฐานองค์เจ้าแม่ทับทิมและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นที่กราบไหว้ของชาวระยอง อาคารศาลเจ้าหันออกสู่แม่น้ำระยอง ยังเป็นหลักฐานสำคัญที่บ่งบอกว่าแม่น้ำระยองเคยเป็นชีพจรหลักของเมือง ปัจจุบันไม่เพียงศาลเจ้าจะเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวไทยเชื้อสายจีนในย่านและในระยอง แต่ยังเป็น ‘พื้นที่กลาง’ ที่เชื่อมกิจกรรมอันสร้างสรรค์ของคนระยองทุกรุ่นเข้าด้วยกัน ผ่านกิจกรรมอันหลากหลายตลอดปี
ผศ. ดร.มณีรัตน์ วงษ์ซิ้มหัวหน้าโครงการโปรแกรมบ่มเพาะและเร่งรัดกระบวนการเพื่อมุ่งสู่เมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาดCIAP | นายฉัตรกุล ชื่นสุวรรณกุลที่ปรึกษาโครงการ CIAP ประธานกรรมาธิการสถาบันพัฒนาเมือง และอดีตรองนายกเทศบาลเมืองสระบุรี ในงาน CITY SOLUTION DAY : เปิดเมือง เปลี่ยนเมือง สู่อนาคตเมืองน่าอยู่27 กันยายน 2568 ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์…
การบรรยายในหัวข้อ “ภาพรวมการขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาเมืองน่าอยู่และการกระจายศูนย์กลางความเจริญของหน่วย บพท.” โดย รศ.ดร.ปุ่น เที่ยงบูรณธรรม รองผู้อำนวยการฝ่ายแผนและยุทธศาสตร์องค์กร หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ในงาน City Solution Days: เปิดเมือง เปลี่ยนเมือง สู่อนาคตเมืองน่าอยู่ วันที่…
“ในฐานะที่เป็นนายกเทศมนตรีเมืองร้อยเอ็ด และในฐานะนายกสมาคมเทศบาลนครและเมือง ซึ่งในสมาคมเรามีสมาชิกที่ประกอบไปด้วย เทศบาลนครประมาณ 35 แห่ง และ เทศบาลเมืองประมาณ 220 แห่ง ผมอยากเชิญชวนพวกเรามองเมืองของเราไปด้วยกัน โจทย์วันนี้ของประเทศไทย ถ้าให้เปรียบเทียบก็เหมือนเราเป็นคนที่มีจมูกรูเดียว พึ่งพาส่วนกลาง และเดินทางมาอย่างนี้มาโดยตลอด จนมีการกระจายอำนาจเมื่อปี 2540 แต่ก็เป็นการกระจายอํานาจค่อนข้างที่จะเป็น ลูกครึ่งลูกผสม คือมีรัฐบาลคอยกําหนดกรอบทั้งการปฏิบัติงานและงบประมาณ ท้องถิ่นก็ทำงานในระดับพื้นที่ไป จริงอยู่ว่าเรื่องนี้จะไม่ได้เป็นอุปสรรคปัญหาต่อการพัฒนาเชิงพื้นที่เท่าไหร่ โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้บริหารท้องถิ่นที่มีความตั้งใจจริง และแสวงหาโอกาสที่อยากจะพัฒนาบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองอย่างตลอดเวลา วันนี้สมาคมเทศบาลนครและเมือง มีโอกาสรวมตัวกันในการที่จะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ แล้วหาช่องทางในการที่จะส่งเสริมต่อยอด ซึ่งในปีพ.ศ.2567 ก็เกิดความร่วมมือกับทาง บพท.…
ชวนอ่าน WeCitizens เมืองเชียงราย : เมืองนวัตกรรมการเกษตร Ebook ได้ที่ https://anyflip.com/jnmvd/iyvl/ Download PDF File : https://drive.google.com/.../1mQO8ZR9GTik02hfUPdS.../view... บอกเล่าเรื่องราวมุมมองเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด (Livable…
คนนครวัย 30 ปีขึ้นไปน่าจะคุ้นกับร้านหนังสือ “นาคร-บวรรัตน์” บนถนนราชดำเนิน ย่านท่าวัง ที่นี่คือร้านหนังสืออิสระที่เป็นพื้นที่จัดกิจกรรมอ่าน-เขียน และแสดงผลงานศิลปะ รวมถึงเป็นศูนย์รวมของนักเขียนและศิลปิน ทั้งจากกลุ่มวรรณกรรม “นาคร” เหล่านักเขียนรางวัล และศิลปินแห่งชาติที่แวะเวียนมาอยู่เสมอ จนกลายเป็นแรงขับสำคัญที่ทำให้เมืองนครมีชื่อในฐานะเมืองแห่งนักเขียนและศิลปิน อดีตร้านหนังสือแห่งนี้ตั้งอยู่ภายใน…
สมัยก่อนพ่อเป็นนายหนังตะลุงที่หวงวิชามากจนมีโอกาสเข้าเฝ้าในหลวง ร.9คำตรัสของพระองค์ท่าน เปลี่ยนความคิดพ่อไปอย่างสิ้นเชิง “สมัยก่อน นายหนังหรือผู้แสดงหลักในหนังตะลุง ส่วนใหญ่เขาจะหวงวิชามากนะครับ มันเหมือนศิลปะการแสดงที่ถ่ายทอดกันอย่างจำกัด และนายหนังแต่ละคนก็จะมีศาสตร์เฉพาะตัวในการแสดงเช่นเดียวกับคุณพ่อของผม (สุชาติ ทรัพย์สิน) แกก็เป็นคนหวงวิชามาก ๆ ใครมาขอให้สอนตอกหนังหรือเชิดหุ่นนี่ยาก กระทั่งปี 2527…