“ตอนจบมาใหม่ๆ เราทำอาชีพครู แต่ความที่เราชอบทำกิจกรรมและงานภาคสนาม จึงพบว่าครูไม่ตอบโจทย์ชีวิตเราเท่าไหร่ จนมาเจอกับพี่ชมพู่ (วรรณกนก เปาะอีแตดาโอะ) ผู้ก่อตั้งกลุ่มลูกเหรียง (สมาคมเด็กและเยาวชนเพื่อสันติภาพชายแดนใต้ – ผู้เรียบเรียง) พี่ชมพู่ก็ชวนมาทำงาน เรารู้จักกลุ่มนี้ตั้งแต่สมัยที่เราทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว จึงตกปากรับคำ
ลูกเหรียงคือชื่อของพืชท้องถิ่นในภาคใต้ เป็นต้นไม้ใหญ่ที่กว่าจะออกเมล็ดพันธุ์ต้องใช้เวลาเป็นสิบๆ ปี คือต้องใช้เวลาพอสมควรในการฟูมฟัก แต่เมื่อมันแตกกิ่งก้านสาขาแล้ว ก็จะให้ร่มเงาแผ่กว้าง และเมล็ดพันธุ์ก็พร้อมจะงอกไปยังพื้นที่อื่นๆ ต่อ เราชอบความคิดของพี่ชมพู่ที่เปรียบเทียบการฟูมฟักและสนับสนุนด้านการศึกษาแก่เด็กและเยาวชนกลุ่มเปราะบางในพื้นที่สามจังหวัดกับวงจรชีวิตของลูกเหรียง
กลุ่มลูกเหรียงดูแลอยู่ 4 ด้านคือ เยียวยา พัฒนา ป้องกัน และทำธุรกิจเพื่อสังคม เราเริ่มงานที่นี่เมื่อ 9 ปีที่แล้วในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ทั่วไป ช่วยออกแบบและจัดกิจกรรมของกลุ่ม แต่ความที่กลุ่มลูกเหรียงมักจะมีผู้ใหญ่มาเยี่ยมเยือน ประชุม หรือมาดูงานบ่อยๆ บางทีผู้มาเยือนเขาไม่อยากออกไปกินข้าวข้างนอก ก็คิดกันว่าจากเดิมที่เราทำอาหารเลี้ยงเด็กๆ ในกลุ่มที่ตอนนี้มีกัน 24 คนอยู่แล้ว ก็น่าจะเปิดเป็นร้านอาหารรับแขกด้วย แต่เพราะทุกคนก็มีหน้าที่รับผิดชอบประจำอยู่ การทำอาหารเป็นหลักไม่น่าจะได้ สุดท้ายเราเลยคิดจะทำร้านอาหารแบบเชฟส์เทเบิล (Chef’s Table) ขึ้น
เชฟส์เทเบิลของเราจะเสิร์ฟอาหารอย่างน้อย 6 คอร์ส ใช้วัตถุดิบจากเกษตรกรในท้องที่ ส่วนอาหารก็เป็นอาหารพื้นบ้านที่เรานำมาประยุกต์หรือตบแต่งให้ดูมีสีสัน มีความน่ารับประทาน เปลี่ยนมุมมองอาหารที่คนใต้คุ้นเคยให้ดูแปลกใหม่ โดยเราจะเปิดรับลูกค้าแบบจองล่วงหน้าเท่านั้น ไม่ได้ทำการตลาดหรือโฆษณาอะไร แต่ก็ได้ลูกค้าจากแขกที่มาเยือนบ้านเราและบอกปากต่อปาก พอผู้ใหญ่และข้าราชการในยะลามารับประทานแล้วถูกปาก เขาก็บอกต่อ กลายเป็นว่าพอในระดับจังหวัดเรามีแขกกิตติมศักดิ์มา เขาก็จองให้พวกเราทำอาหารต้อนรับ
เราไม่เคยเรียนทำอาหารจากสถาบันไหนมาก่อน อาศัยว่าชอบทำอาหารอยู่แล้ว ก็ไปเรียนเพิ่มเติมจากยูทูป หรือรายการทำอาหารของไทยและต่างประเทศ หาเรฟเฟอร์เรนซ์ในการออกแบบหน้าตาอาหารจากพินเทอเรส (Pinterest) และความที่ถ้าพี่ชมพู่เห็นเด็กคนไหนในกลุ่มเรามีความสนใจหรือมีแววทำอะไรได้ดี ก็จะส่งเสริมเต็มที่ เลยมีน้องๆ หลายคนได้เรียนต่อด้านคหกรรม บางคนไปเรียนทำอาหารถึงมหาวิทยาลัยสวนดุสิต น้องๆ เหล่านี้ก็นำองค์ความรู้ที่ได้มาแลกเปลี่ยนกับเรา มาพัฒนาเมนูอาหารที่เราทำเสิร์ฟเรื่อยมา
เราคิดคอร์สเริ่มต้นที่ท่านละ 500 บาท หลายคนบอกว่าทำไมถูกจัง เราบอกว่าต้นทุนอาหารเราถูกแถมยังคุณภาพดี ที่คิดเท่านี้ เราก็ได้กำไรแล้ว ซึ่งต้องยกเครดิตให้ความอุดมสมบูรณ์ของพืชผักและวัตถุดิบประกอบอาหารของยะลา หรือพวกดอกไม้สีสันสวยๆ ที่เรามาประดับจานอย่าง ดอกพวงชมพู หรือกระดุมทอง นี่หาได้ง่ายตามบ้าน รั้วสถานีรถไฟยะลาก็มีดอกไม้สีสันสวยๆ เยอะ
และหลายคนยังไม่รู้ว่ายะลาเรามีวัตถุดิบที่มีคุณภาพมากๆ อาทิ ปลานิลสายน้ำไหลที่เลี้ยงในบ่อกลางหุบเขาของอำเภอเบตง ปลาพลวงชมพู หรือกบภูเขา เหล่านี้ราคาต่อกิโลกรัมค่อนข้างสูง แต่ก็เพราะอย่างนี้คนยะลาเลยไม่ค่อยได้กิน ชาวบ้านเพาะเลี้ยงเพื่อส่งขายตามภัตตาคารในกรุงเทพฯ หมด เราก็อยากนำวัตถุดิบเหล่านี้มานำเสนอในเชฟส์เทเบิลด้วยเหมือนกัน แต่ก็ต้องคำนวณต้นทุนอีกที
ทุกวันนี้เรายังทำงานในด้านการเยียวยาและจัดกิจกรรมพัฒนาเด็กๆ และงานด้านสังคมของกลุ่มลูกเหรียงอยู่ แต่ขณะเดียวกันถ้ามีแขกจองโต๊ะเข้ามา เราก็จะชวนน้องๆ ที่นี่มาทำเชฟส์เทเบิล หรือไปเป็นวิทยากรบรรยายเรื่องการออกแบบอาหารให้แก่หน่วยงานต่างๆ เป็นรายได้เสริมให้พวกเขา
หลายคนมักจะติดภาพว่าสมาคมเด็กและเยาวชนแบบเรา ก็เหมือนบ้านเด็กกำพร้าหรือมูลนิธิที่ช่วยเหลือด้านการศึกษาให้เยาวชนที่มาจากครอบครัวที่เปราะบางอย่างเดียว แต่ความที่พี่ชมพู่ได้ปลูกฝังรากฐานที่ดีไว้ ทั้งการเรียนรู้ด้วยการลงมือทำ การสนับสนุนให้เด็กๆ ค้นหาตัวเอง รู้จักการเป็นผู้ให้ และเปิดกว้างทางความคิด ที่สำคัญคือการสนับสนุนซึ่งกันและกัน จากพื้นเพของเด็กๆ ที่หลายคนมองว่าเป็นปมด้อย เราว่าด้วยสิ่งเหล่านี้นี่แหละที่หนุนเสริมให้เด็กๆ ได้ค้นพบปมเด่น และเติบโตขึ้นมาอย่างมีเป้าหมายและความคิดสร้างสรรค์”
แอลลี่-อิสมาแอ ตอกอย
เจ้าหน้าที่ด้านทุนการศึกษาและเยียวยา และเชฟประจำกลุ่มลูกเหรียง
https://www.facebook.com/luukrieang/
“หอโหวดเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่หลังจากนี้คือกลไกที่เทศบาลต้องทำงานร่วมกับภาคประชาชนและนักวิชาการ ในการกำหนดทิศทางเมืองให้ร้อยเอ็ดพร้อมรับการท่องเที่ยว และทำให้เมืองมีความน่าอยู่ สำหรับผู้คนในเมืองพร้อมกันไปด้วย” “เราเกิดที่ร้อยเอ็ด เรียนมัธยมที่นี่ ก่อนไปเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ ก่อนหน้านี้ สักเกือบ 10 ปีที่แล้ว เราไม่เคยมีความคิดจะกลับมาทำงานที่บ้านเกิดเลยนะ เพราะไม่เห็นโอกาสอะไรในชีวิตในภาพจำเดิมของเรา ร้อยเอ็ดเป็นเมืองผ่าน ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อ ไม่มีแหล่งธรรมชาติสวยๆ…
ชวนอ่าน เบื้องหลังแนวคิดการขับเคลื่อนงานพัฒนาเมืองด้วยงานวิจัย องค์ความรู้ และนวัตกรรม ความร่วมมือ และบูรณการระหว่าง บพท. และสมาคมเทศบาลนครและเมือง ก่อเกิดโครงการ "โปรแกรมบ่มเพาะและเร่งรัดกระบวนการเพื่อมุ่งสู่เมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด (CIAP) ดำเนินการระหว่างปีพ.ศ. 2567-2568 กับผู้นำเมือง และเทศบาล…
WeCitizens : ร้อยเอ็ดเมืองน่าอยู่อย่างชาญฉลาด (ฉบับที่ 1) เปิดความคิด ความหวัง และโอกาสของการพัฒนาเมืองร้อยเอ็ดที่รัก นำโดยนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด คุณบรรจง โฆษิตจิรนันท์ คณะทำงานเจ้าหน้าที่เทศบาล และหัวหน้าโครงการวิจัยร้อยเอ็ดเมืองน่าอยู่อย่างชาญฉลาด ผศ. ดร.ชัญญรินทร์…
ร้อยเอ็ดอยู่ห่างจาก ‘สะดืออีสาน’ พื้นที่ที่ถูกปักหมุดให้เป็นจุดศูนย์กลางของภาคอีสานในอำเภอโกสุมพิสัย มหาสารคาม เพียง 60 กิโลเมตร ในตำนานอุรังคธาตุ (ตำนานพระธาตุพนม) กล่าวว่า ‘สาเกตนครร้อยเอ็ดประตู’ (ชื่อเดิม) เมืองนี้ มีประตูเท่าจำนวนเมืองขึ้น ‘ร้อยเอ็ดเมือง’ สะท้อนให้เห็นความรุ่งเรืองจากการเป็นศูนย์กลางอำนาจและการคมนาคมของภูมิภาคมาตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 21อีกทั้ง ส่วนหนึ่งของพื้นที่ยังเป็นที่ตั้งของทุ่งกุลาร้องไห้ ที่ราบขนาดใหญ่กว่า 2 ล้านไร่ ทำให้ในเวลาต่อมา ร้อยเอ็ดจึงเป็นอู่ข้าวที่ผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาที่ใหญ่ และมีผลิตผลที่ดีที่สุดในโลก แม้มีภูมิหลังที่รุ่งเรือง กระนั้น ตลอดหลายทศวรรษหลัง…
สนทนากับ ผศ.ดร.ชัญญรินทร์ สมพรหัวหน้าโครงการวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด ‘ร้อยเอ็ด’, สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด “พื้นที่นี้จะเป็นเหมือนตัวกลางในการสร้างความพร้อมให้คนร้อยเอ็ดสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต” ผศ. ดร.ชัญญรินทร์ สมพร รองผู้อํานวยการสํานักส่งเสริมวิชาการและจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด และหัวหน้าโครงการวิจัย "โครงการเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด ร้อยเอ็ดคนดี เชื่อมโยงโครงข่ายเศรษฐกิจ ด้วยการเดินบนความปลอดภัยและทันสมัย…
"เราให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงเศรษฐกิจให้ร้อยเอ็ดเป็นทางเลือกใหม่ของตลาด MICE ที่ราคาย่อมเยา เดินทางสะดวก และมีอัตลักษณ์" เริ่มจากความคับข้องใจที่เห็นบ้านเกิดของตัวเอง (ร้อยเอ็ด) เป็นเมืองผ่านที่มักถูกมองข้าม เมื่อ บรรจง โฆษิตจิรนันท์ เข้ารับตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองร้อยเอ็ด เมื่อปี 2538 เขาจึงเริ่มโครงการพัฒนาเมือง ไปพร้อมกับการดึงเสน่ห์จากศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ดึงดูดให้ผู้คนมาเที่ยว…