“เราแค่อยากกลับมาอยู่บ้าน ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกว่าจะกลับมาทำอะไร เราเรียนจบศิลปะ (ศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย – ผู้เรียบเรียง) และทำงานสายครีเอทีฟตั้งแต่เรียนจบ ย้อนกลับไปเมื่อราว 10 ปีที่แล้ว เรานึกไม่ออกเลยนะว่าทักษะทางวิชาชีพที่มี จะไปประกอบอาชีพอะไรในยะลาได้
เราเริ่มอาชีพใหม่ในบ้านเกิดของตัวเองด้วยการร่วมกับน้องสาวเปิดร้านอาหารกึ่งคาเฟ่ชื่อ Living Room ที่เลือกทำร้านก็เพราะเราทั้งสองคนชอบทำอาหาร และเห็นว่ายะลายังไม่มีร้านที่นำเสนอไลฟ์สไตล์ร่วมสมัยแบบนี้ด้วย ขณะเดียวกันก็เป็นรูปแบบหนึ่งของงานครีเอทีฟที่เราถนัดด้วยเช่นกัน ทั้งการทำสไตล์ลิ่ง การออกแบบเมนูอาหาร และอื่นๆ และอาจเพราะเหตุนี้ ร้านเราจึงได้รับผลตอบรับค่อนข้างดี ซึ่งหลังจากทำร้านได้สักพักจนร้านอยู่ตัว เราก็พอมีเวลาไปทำอย่างอื่น
พอดีอีกกับที่วันหนึ่งเมื่อราวๆ 4-5 ปีก่อน มีผู้ชายชาวมุสลิมคนหนึ่งมาหาเราที่ร้าน เราไม่รู้จักกันมาก่อน เขาบอกว่าเขามีลูกสิบกว่าคน งานที่ทำอยู่ตอนนี้มีรายได้ไม่พอเลี้ยงคนในครอบครัว เขาอยากขายข้าวเหนียวไก่ทอด แต่ทำยังไงก็ไม่อร่อย และอยากให้เราช่วยเขา
ตอนแรกก็งง เราไม่เคยขายข้าวเหนียวไก่ทอด จะช่วยเขาได้อย่างไร แต่เห็นว่าเขาอยากให้เราช่วยจริงๆ ก็เลยนัดให้เขามาอีกวัน ชวนเขาลองปรับสูตรไก่ทอดด้วยกัน จากนั้นเราก็ออกแบบบรรจุภัณฑ์และแบรนด์ดิ้งของร้านให้เขา พอทำเสร็จ เขาก็สามารถเอาไปเปิดร้านเอง จากนั้นก็เหมือนการบอกกันปากต่อปาก มีคนมาให้เราช่วยคิดเรื่องการพัฒนาสินค้าให้อีก ตรงนี้แหละที่ทำให้เราตระหนักว่าที่ผ่านมาเมืองเราขาด creative economy คือแม้จะมีต้นทุนดี แต่คนในพื้นที่ส่วนใหญ่ก็ไม่รู้วิธีจะนำเสนอหรือยกระดับสิ่งที่พวกเขามีอย่างไร
ยะลาไอคอน (Yala Icon) มีที่มาเช่นนี้ ผู้ประกอบการเขามีผลิตภัณฑ์ของตัวเองอยู่แล้ว ส่วนเราเข้าไปเรียนรู้ และใช้ทักษะทางการออกแบบและความคิดสร้างสรรค์ไปช่วยพัฒนาสินค้าร่วมกับเขา หัวใจสำคัญคือ เราจะไม่ทำให้ชาวบ้านขายของได้ เพียงเพราะผู้ซื้อรู้สึกสงสาร แต่ต้องเกิดจากที่ผู้ซื้อตระหนักถึงมูลค่าของผลิตภัณฑ์นั้นจริงๆ
ยะลาไอคอนตอบโจทย์ชีวิตการทำงานที่ยะลาให้กับเรามาก จากที่เคยคิดว่าคงไม่ได้ทำงานครีเอทีฟในยะลาเท่าไหร่ กลับกลายเป็นว่าเราได้กลับมาทำสิ่งที่เราชอบ ถนัด และอยากทำอยู่แล้ว แถมยังได้ช่วยเหลือคนในพื้นที่อีก เราทำยะลาไอคอนจนเป็นที่รู้จักประมาณหนึ่ง และมีโอกาสไปร่วมแสดงผลงานในเทศกาลด้านความคิดสร้างสรรค์ที่เมืองอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งพอออกงานที่อื่นอยู่หลายครั้ง ก็มาแอบคิดน้อยใจว่าทำไมยะลาของเราถึงไม่มีงานแบบนี้จัดขึ้นบ้าง
ก็พอดีกับทางศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธรกำลังทำโครงการเมืองแห่งการเรียนรู้ โดยร่วมกับเยาวชนในพื้นที่จัดทำนิทรรศการบอกเล่าแง่มุมต่างๆ ของเมืองในชื่อ ‘ยะลาสตอรี่’ โดยทางศูนย์ฯ ชวนให้เรามาร่วมโครงการในฝั่งครีเอทีฟ รวมถึงชักชวนเครือข่ายต่างๆ มาร่วมงาน แน่นอน เรายินดีช่วยเต็มที่ เพราะเราเห็นว่ายะลามีของดี แต่เราแค่กลุ่มเดียวก็ไม่สามารถผลักดันสิ่งนี้ออกไปได้ เมื่อมีคนมาช่วย มีเครือข่ายมาร่วมด้วย เทศกาลทางความคิดสร้างสรรค์ของเมืองที่เราฝันอยากเห็นมาตลอดจึงได้ฤกษ์เกิดขึ้นเสียที
ผลจากงานครั้งนั้น ไม่เพียงทำให้เรารู้จักยะลาในแง่มุมใหม่ รวมถึงแง่มุมที่เราอาจหลงลืมไปแล้ว ยังทำให้เรามั่นใจอีกว่าเราสามารถเปิดครีเอทีฟสตูดิโอที่เมืองบ้านเกิดของเราได้ เราพบว่ามีนักออกแบบ ครีเอทีฟ รวมถึงคนทำงานด้านสื่อรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยอยากกลับมาทำงานที่บ้านเกิดของตัวเอง ขณะเดียวกันผู้ประกอบการหลายๆ คน รวมถึงหน่วยงานรัฐ ก็เริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการยกระดับสินค้าและบริการด้วยความคิดสร้างสรรค์ โดยเราสามารถเป็นตัวกลางเชื่อมสองฝั่งนี้ให้เข้าหากันได้
ทุกวันนี้เราเปิดสตูดิโอครีเอทีฟที่ชื่อว่า SoulSouth Studio โดยรวมทีมกับน้องๆ ที่จบศิลปะจาก ม.อ.ปัตตานี ซึ่งก็เป็นทีมที่อยู่เบื้องหลังงานออกแบบของยะลาสตอรี่ด้วย นอกจากจะใช้ทักษะที่เชี่ยวชาญช่วยเหลือผู้ประกอบการ เรายังหวังให้ออฟฟิศเล็กๆ แห่งนี้ เป็นหนึ่งในกลไกขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองยะลา ขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์ในพื้นที่สาธารณะอย่างสร้างสรรค์ รวมถึงมีส่วนเพิ่มและยกระดับพื้นที่การเรียนรู้ให้กับเมือง
เราเชื่อว่ายะลาจะพัฒนาได้มันต้องเกิดจากการร่วมมือกันของคนหลากรุ่น เมื่อเมืองเกิดการพัฒนาและมีความน่าอยู่ มันจะดึงดูดให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจ และเมื่อเศรษฐกิจดี เมืองก็จะตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้คน เรามองภาพไกลๆ ให้คนรุ่นใหม่มองยะลาอย่างที่เราเห็น มองเห็นถึงความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในเมืองเมืองนี้ มองเห็นถึงความเป็นเมืองที่คนรุ่นใหม่อยู่ได้ และสามารถทำงานที่ตอบโจทย์ความฝันของพวกเขาไปพร้อมกัน”
เอกรัตน์ สุวรรณรัตน์
นักออกแบบ ครีเอทีฟงาน Yala Stories และผู้ก่อตั้ง SoulSouth Studio
https://www.facebook.com/SoulSouthStudio
“หอโหวดเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่หลังจากนี้คือกลไกที่เทศบาลต้องทำงานร่วมกับภาคประชาชนและนักวิชาการ ในการกำหนดทิศทางเมืองให้ร้อยเอ็ดพร้อมรับการท่องเที่ยว และทำให้เมืองมีความน่าอยู่ สำหรับผู้คนในเมืองพร้อมกันไปด้วย” “เราเกิดที่ร้อยเอ็ด เรียนมัธยมที่นี่ ก่อนไปเรียนระดับมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ ก่อนหน้านี้ สักเกือบ 10 ปีที่แล้ว เราไม่เคยมีความคิดจะกลับมาทำงานที่บ้านเกิดเลยนะ เพราะไม่เห็นโอกาสอะไรในชีวิตในภาพจำเดิมของเรา ร้อยเอ็ดเป็นเมืองผ่าน ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อ ไม่มีแหล่งธรรมชาติสวยๆ…
ชวนอ่าน เบื้องหลังแนวคิดการขับเคลื่อนงานพัฒนาเมืองด้วยงานวิจัย องค์ความรู้ และนวัตกรรม ความร่วมมือ และบูรณการระหว่าง บพท. และสมาคมเทศบาลนครและเมือง ก่อเกิดโครงการ "โปรแกรมบ่มเพาะและเร่งรัดกระบวนการเพื่อมุ่งสู่เมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด (CIAP) ดำเนินการระหว่างปีพ.ศ. 2567-2568 กับผู้นำเมือง และเทศบาล…
WeCitizens : ร้อยเอ็ดเมืองน่าอยู่อย่างชาญฉลาด (ฉบับที่ 1) เปิดความคิด ความหวัง และโอกาสของการพัฒนาเมืองร้อยเอ็ดที่รัก นำโดยนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด คุณบรรจง โฆษิตจิรนันท์ คณะทำงานเจ้าหน้าที่เทศบาล และหัวหน้าโครงการวิจัยร้อยเอ็ดเมืองน่าอยู่อย่างชาญฉลาด ผศ. ดร.ชัญญรินทร์…
ร้อยเอ็ดอยู่ห่างจาก ‘สะดืออีสาน’ พื้นที่ที่ถูกปักหมุดให้เป็นจุดศูนย์กลางของภาคอีสานในอำเภอโกสุมพิสัย มหาสารคาม เพียง 60 กิโลเมตร ในตำนานอุรังคธาตุ (ตำนานพระธาตุพนม) กล่าวว่า ‘สาเกตนครร้อยเอ็ดประตู’ (ชื่อเดิม) เมืองนี้ มีประตูเท่าจำนวนเมืองขึ้น ‘ร้อยเอ็ดเมือง’ สะท้อนให้เห็นความรุ่งเรืองจากการเป็นศูนย์กลางอำนาจและการคมนาคมของภูมิภาคมาตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 21อีกทั้ง ส่วนหนึ่งของพื้นที่ยังเป็นที่ตั้งของทุ่งกุลาร้องไห้ ที่ราบขนาดใหญ่กว่า 2 ล้านไร่ ทำให้ในเวลาต่อมา ร้อยเอ็ดจึงเป็นอู่ข้าวที่ผลิตข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาที่ใหญ่ และมีผลิตผลที่ดีที่สุดในโลก แม้มีภูมิหลังที่รุ่งเรือง กระนั้น ตลอดหลายทศวรรษหลัง…
สนทนากับ ผศ.ดร.ชัญญรินทร์ สมพรหัวหน้าโครงการวิจัยเมืองน่าอยู่ที่ชาญฉลาด ‘ร้อยเอ็ด’, สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด “พื้นที่นี้จะเป็นเหมือนตัวกลางในการสร้างความพร้อมให้คนร้อยเอ็ดสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต” ผศ. ดร.ชัญญรินทร์ สมพร รองผู้อํานวยการสํานักส่งเสริมวิชาการและจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิต มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด และหัวหน้าโครงการวิจัย "โครงการเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด ร้อยเอ็ดคนดี เชื่อมโยงโครงข่ายเศรษฐกิจ ด้วยการเดินบนความปลอดภัยและทันสมัย…
"เราให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงเศรษฐกิจให้ร้อยเอ็ดเป็นทางเลือกใหม่ของตลาด MICE ที่ราคาย่อมเยา เดินทางสะดวก และมีอัตลักษณ์" เริ่มจากความคับข้องใจที่เห็นบ้านเกิดของตัวเอง (ร้อยเอ็ด) เป็นเมืองผ่านที่มักถูกมองข้าม เมื่อ บรรจง โฆษิตจิรนันท์ เข้ารับตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองร้อยเอ็ด เมื่อปี 2538 เขาจึงเริ่มโครงการพัฒนาเมือง ไปพร้อมกับการดึงเสน่ห์จากศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ดึงดูดให้ผู้คนมาเที่ยว…